เจอลูกปัดสุริยเทพ โจรส่งคืน มาพร้อมจม.ขอโทษ

เจอลูกปัดสุริยเทพ โจรส่งคืน มาพร้อมจม.ขอโทษ

เจอลูกปัดสุริยเทพ โจรส่งคืน มาพร้อมจม.ขอโทษ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ได้คืนแล้วลูกปัด สุริยเทพ มีคนส่ง ลูกปัดทางไปรษณีย์มาให้มิวเซียมสยามพร้อมจดหมายขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน เบื้องต้นพบเป็นของจริงเม็ดเดียวกับที่หายไป แต่ต้องรอ"หมอบัญชา"เจ้าของมายืนยันอีกครั้งเพราะติดธุระต่างจังหวัด ด้านตร.ยันเดินหน้าสืบสวนต่อเพราะเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ผอ.มิวเซียมสยามแถลงดีใจที่ได้คืนพร้อมนำออกโชว์อีกครั้ง โดยเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มเป็นพิเศษ ส่วนหมอบัญชา ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดได้เห็นภาพทางอินเตอร์เน็ตเชื่อเป็นของจริง พร้อมโต้ถูกกล่าวหาขโมยไปเองเพื่อปั่นกระแสข่าวลูกปัด

จากกรณีลูกปัด สุริยเทพ อายุกว่า 2,000 ปี ของนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ผู้เชี่ยวชาญและนักสะสมลูกปัดโบราณชื่อดังของเมืองไทย ซึ่งสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม ขอยืมมาจัดแสดงนิทรรศการแล้วถูกโจรกรรมไป ตำรวจเข้าสืบสวนหาเบาะแสจากกล้องวงจรปิด จนสามารถออกภาพสเกตช์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์เพื่อติดตามมาสอบปากคำหาร่องรอยคนร้าย ขณะเดียวกัน ผอ.มิวเซียมสยาม ตั้งรางวัล 50,000 บาท ให้กับผู้แจ้งเบาะแส ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 12 มี.ค. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. แถลงคดีลักทรัพย์ลูกปัดสุริยเทพ ว่า เมื่อเวลา 10.30 น.วันเดียวกันนี้ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ว่าได้รับจดหมายจ่าหน้าซองถึงมิวเซียมสยาม ถนนสนามไชย เขตพระ นคร กทม. 10200 ติดแสตมป์ 3 บาท เมื่อเปิดซองจดหมายออก พบลูกปัดสุริยเทพบรรจุในถุงพลาสติกใสขนาด 6 คูณ 5 ซ.ม. และพบจดหมายกระดาษเอ 4 เขียนข้อความว่า "ฉันต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้ต้องเดือดร้อนกันทุกคน ฉันขอคืนให้ก็แล้วกันนะ จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย" ลงท้ายข้อความว่า "ขอโทษจากใจจริง" ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เชื่อว่าน่าจะเป็นลูกปัดสุริยเทพที่ถูกคนร้ายลักไปเมื่อวันที่ 5 มี.ค.จริง

"สำหรับจดหมายส่งมาจากไปรษณีย์จรเข้บัว ดูจากสรรพานามน่าจะเป็นผู้หญิงเขียน ส่วนด้านคดีนั้นเนื่องจากความผิดสำเร็จคดีลักทรัพย์เป็นอาญายอมความไม่ได้ ต้องสืบสวนต่อไปว่าใครเป็นคนลักเอาไป เพื่อดำเนินคดีข้อหาในการกระทำความผิด คือ ลักทรัพย์โดยทำลายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ อัตราโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับ 2,000-10,000 บาท" ผบช.น.กล่าวและว่า ส่วนภาพถ่ายวงจรปิดที่เห็นว่าเป็นผู้ชายมากับเด็กนั้น ตำรวจเรายังคงต้องการตัวมา สอบสวนอยู่เพื่อหาข้อมูลที่แท้จริง สำหรับเงินรางวัล 5 หมื่นบาท ต้องสอบถามจากทางมิวเซียมสยาม ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 กล่าวว่า ตำรวจ สน.พระราชวัง ได้รับแจ้งเรื่องการคืนลูกปัดสุริยเทพ หลังจากน.ส.ไพรินทร์ มณีทัพย์ และน.ส.อัญญาพร จริยาบูรณ์ เจ้าหน้าที่ธุรการฝ่ายอำนวยการ เป็นผู้เปิดซองจดหมายดังกล่าว และติดต่อกับตำรวจ จึงเดินทางไปตรวจสอบพบว่าจดหมายดังกล่าวใส่ซองสีขาว จ่าหน้าซองถึงพิพิธภัณฑ์ ประทับตราจากไปรษณีย์จรเข้บัว ลงวันที่ 11 มี.ค. 52 จึงให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานต่างๆ ไว้ เพื่อนำส่งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจหารอยนิ้วมือแฝง

พล.ต.ต.วิทยา กล่าวอีกว่า หลังจากได้รับลูกปัดคืนแล้ว จะมอบลูกปัดให้ทางพิพิธภัณฑ์ตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ ในส่วนของเรื่องคดีก็จะต้องดำเนินต่อไปเพื่อหาคนร้าย โดยจะส่งจดหมาย ถุงพลาสติก กระดาษ ลายมือ ให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจหารายนิ้วมือแฝง และหลักฐานอื่นๆ เก็บไว้ เพื่อมาเปรียบเทียบกับผู้ต้องสงสัย และให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบไปรษณีย์ที่ประทับตราถึงจุดที่รับมา เพื่อติดตามคนร้าย มาดำเนินคดีต่อไป ถึงแม้จะได้รับลูกปัดคืนแล้ว เนื่องจากเป็นคดีอาญา ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

วันเดียวกันที่ห้องประชุมมิวเซียมสยาม พล.ร.อ. ฐนิธ กิตติอำพล ผอ.สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ พร้อมด้วยนายรณฤทธิ์ ธนโกเศศ หัวหน้าฝ่ายพิพิธภัณฑ์และกิจกรรม และนางจุลลดา มีจุล หัวหน้าฝ่ายวิชาการและพัฒนาเครือข่าย ร่วมกันแถลงข่าวได้รับคืนลูกปัดสุริยเทพ พล.ร.อ.ฐนิธ กล่าวว่า ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลูกปัดคืนมาเพราะเป็นสมบัติของชาติ เพื่อเป็นโอกาสอันดีที่จะให้ประชาชนได้เข้าชมและศึกษาต่อไป หลังจากได้รับลูกปัดมาแล้ว ตรวจสอบตามข้อมูลและหลักฐานในเบื้องต้นพบว่าเป็นของที่หายไปจริง พร้อมกันนี้ส่งรูปภาพลูกปัดที่ได้รับคืนผ่านทางทางอินเตอร์เน็ต ไปให้น.พ.บัญชา พงศ์พานิช เจ้าของลูกปัดที่อยู่ต่างจังหวัดตรวจสอบอีกทางหนึ่ง จากการพูดคุยกับน.พ.บัญชา แจ้งว่าดูแล้วรูปพรรณและตำหนิ น่าจะเป็นเม็ดเดียวกันกับที่หายไป และหลังจากได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วว่าเป็นของจริงแน่นอน ก็จะนำไปจัดแสดงเหมือนเดิม

พล.ร.อ.ฐนิธ กล่าวอีกว่า การแสดงลูกปัดจะเริ่มเปิดให้ชมอีกครั้งในวันอังคารที่ 17 มี.ค.นี้ หลังตรวจความพร้อมและทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยในวันจันทร์ที่ 16 มี.ค. เริ่มตั้งแต่ประชาชนที่เข้าชมต้องแลกบัตร เพิ่มเจ้าหน้าที่อีก 8 คน ดูแลทั้งกลางวันและกลางคืน เพิ่มระบบเตือนภัยแบบสั่นสะเทือน เพิ่มกล้องวงจรปิดอีก 10 ชุด สามารถบันทึกภาพได้อย่างชัดเจนทุกมุม ส่วนตัวตู้ที่ใช้จัดแสดงเพิ่มความแข็งแรงเป็น 2 ชั้น ประตูจะปิดล็อกทันทีที่สัญญานเตือนภัยดังขึ้น ซึ่งในวันซ้อมใหญ่ทางสน.พระราชวัง จะส่งเจ้าหน้าที่มาดูการบรรจุลูกปัดเข้าตู้ พร้อมกันนี้ประสานไปทางสน.เพื่อขอเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาดูแลในช่วงจัดแสดงด้วย ส่วนเรื่องคนร้ายจะให้ตำรวจดำเนินการไปตามกฎหมาย จะไม่ถอนแจ้งความเด็ดขาด ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในช่วงที่ลูกปัดหายนั้น ทางพิพิธภัณฑ์ตั้งคณะกรรมการเพื่อหาข้อเท็จจริง ว่าหายไปได้อย่างไร เพื่อเป็นแนวทางป้องกันต่อไป

ด้านน.พ.บัญชา กรรมการและเลขานุการสุธีรัตนา มูลนิธิ เจ้าของลูกปัด สุริยเทพ กล่าวว่า จากการตรวจสอบทางภาพถ่าย ทั้งรูปพรรณสัณฐานของลูกปัด เมื่อพิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นของเดิมและของแท้ ซึ่งขณะนี้ติดงานที่จังหวัดกระบี่จึงไม่สามารถเดินทางตรวจที่กรุงเทพฯ ได้ แต่ในวันที่ 14 มี.ค.นี้จะเดินทางขึ้นไปตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง ส่วนกรณีที่มีกระแสโจมตีว่าต้องการปั่นกระแสเรื่องลูกปัดสุริยเทพเพื่อเรียกร้องความสนใจ โดยจัดฉากขโมยลูกปัดเองนั้น คิดว่าทุกคนก็มีความรู้ความสามารถมีความคิด ซึ่งการจะคิดอะไรในทางที่ดีก็มี ทางที่ไม่ดีก็มี ดังนั้น จะไปห้ามความคิดของบุคคลอื่นคงไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้คนอื่นคิดในทางที่ดีต่อเราได้ ที่ผ่านมาก็ทำงานให้กับวัดสวนโมกข์ของพระพุทธทาสภิกขุ และทำงานด้านศาสนาด้วย ดังนั้น หากไปทำอะไรที่เป็นการหลอกลวงถือว่าไม่ควร ไม่ถูกต้อง ผิดศีลธรรม เป็นบาป

"คิดจะไปขโมยของของคนอื่นก็บ้าแล้ว หากคิดจะขโมยของของตัวเองยิ่งบ้าไปอีก แต่คนที่คิดว่ามีคนจะขโมยของของตัวเองนั้นบ้ากว่าอีก และผมไม่ใช่คนแบบนั้น พูดจริงทำจริง หากไปทำอย่างนั้นแล้วใครจะมานับถือ ยิ่งกว่าเด็กเลี้ยงแกะเสียอีก แต่เราคงไปห้ามความคิดของคนอื่นไม่ได้ รอให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง รอดูไปก่อน แล้ววันข้างหน้าเขาก็จะเข้าใจไปเอง" น.พ.บัญชา กล่าวและว่า ต้องขอขอบคุณบุคคลที่นำลูกปัดสุริยเทพไปแล้วนำมาคืน ถือว่าเป็นคนที่ประเสริฐ มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ เพราะรู้ว่าการนำอะไรของคนอื่นไปนั้นเป็นความผิด แต่ก็กลับตัวกลับใจนำของมาคืน อย่างไรก็ตาม ขอให้บุคคลที่นำไปออกมาแสดงตน เพื่อต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป และเชื่อว่าสังคมจะให้อภัยกับบุคคลที่กล้ากลับตัวกลับใจ อีกทั้งการที่ได้ของคืนในครั้งนี้เชื่อว่าสังคมมีส่วนช่วยส่งแรงใจในแรงบวก ทำให้ผู้ที่เอาไปอดไม่ได้จนต้องนำมาคืนในที่สุด

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook