ร้อนอีกนาน
นายมหาเศรษฐี
ทำไปทำมาความหวังที่จะได้เห็นเศรษฐกิจไทยฟื้นจากวิกฤตได้ในระยะเวลาที่ไม่นานนักนั้นชักจะริบหรี่ลงทุกขณะ
สาเหตุหลักเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่ฟื้นง่ายในเร็วนี้ แล้วเศรษฐกิจไทยที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนใหญ่จะฟื้นคืนเร็วกว่าประเทศอื่นได้อย่างไร
ความจริงมีอยู่ว่าเศรษฐกิจไทยในสังคมโลกนั้นมีสภาพเป็นเพียงเรือลำน้อยที่ลอยเคว้งคว้างกลางมหาสมุทร จะขึ้นลงซัดเซพเนจรอย่างไรล้วนฝากไว้กับกระแสน้ำที่จะเป็นผู้กำหนด
สารพัดมาตรการของรัฐบาลที่ทุ่มไปเพื่อกระตุ้นตลาดภายในหวังให้มาชดเชยภาคการส่งออกที่ลดลงนั้นมันอาจจะได้ผลอยู่บ้างในส่วนที่ทำให้ภาวการณ์ค้าขายทั่วไปกระเตื้องขึ้นได้ระดับหนึ่ง ในห้วงเวลาหนึ่ง
แต่ไม่สามารถนำไปเติมให้เต็มเพื่อทดแทนเศรษฐกิจส่วนที่พร่องได้หรอก เพราะขนาดของปริมาณการค้าต่างกันเยอะ
ไล่เรียงกันว่าเศรษฐกิจของสหรัฐและกลุ่มสหภาพยุโรปจะค่อยๆ กระเตื้องขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก หลังจากนั้นประเทศคู่ค้าอื่นไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ ไทย ฯลฯ ถึงจะทยอยขยับเป็นลำดับถัดมา
เมื่อทั้งโลกเขาประเมินแล้วว่ากว่าที่เศรษฐกิจของสหรัฐและกลุ่มสหภาพยุโรปจะก้าวพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้น่าจะต้องใช้เวลาอีกราว 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย
เมื่อนำมาบวกกับผลกระทบต่อเนื่องที่จะส่งถึงไทยเราเข้าไปอีกอย่างเร็ว 1 ปี ก็เท่ากับว่ากว่าที่เศรษฐกิจไทยจะสามารถพลิกฟื้นกลับคืนมาได้คงต้องใช้เวลาอีกราว 3-4 ปี
ประเด็นก็คือเราควรที่จะดำเนินชีวิตกันอย่างไรในช่วง 3-4 ปีนี้เพื่อให้อยู่รอดทันได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อีกครั้ง
เราในความหมายรัฐบาลที่จะต้องวางแผนบริหารประเทศ สร้างงาน สร้างเงินให้กับชาวบ้านอย่างต่อเนื่องตลอดห้วงเวลาดังกล่าว
เราในความหมายผู้ประกอบการที่จะต้องประคองธุรกิจตนด้วยการคุมเข้มรายจ่ายทุกบาท ดิ้นรนทุกรูปแบบหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม
และเราในความหมายชาวบ้านทั่วไปที่จะต้องนุ่งเจียมห่มเจียม ขยัน อดออม ประหยัดรัดเข็มขัดกันจนเอวกิ่ว
ทุกกรณีต้องเริ่มลงมือทำด้วยความทุ่มเทนับแต่วันนี้เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ถึงวันหน้า
งานพิธีกรรมทางการทูต ณ ต่างแดนเพื่อสร้างภาพนั้นมีความสำคัญสำหรับประเทศก็จริง
แต่ถ้าลดลงเสียบ้างเปลี่ยนเป็นหันมาให้ความสำคัญกับงานในประเทศมากขึ้นแทนได้ก็น่าจะดีกว่า