ส.อ.ท.ระบุนักธุรกิจเฉยๆ ไม่ต้นเต้นซักฟอกรัฐบาล ชี้ตัวเลขส่งออกติดลบลดลงเกินคาด

ส.อ.ท.ระบุนักธุรกิจเฉยๆ ไม่ต้นเต้นซักฟอกรัฐบาล ชี้ตัวเลขส่งออกติดลบลดลงเกินคาด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ส.อ.ท.ชี้อภิปรายไม่ไว้วางใจไม่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน บอกรู้สึกเฉยๆไม่ตื้นเต้น ผ.อ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยตัวเลขส่งออก ติดลบน้อยลงเกินคาดหมาย ชี้ชัดว่ามีคำสั่งซื้อกลับมาเหมือนเดิม เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ 5 รัฐมนตรีครั้งนี้ คงไม่กระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อรัฐบาล เพราะข้อมูลที่พรรคฝ่ายค้านนำมาอภิปรายนั้นส่วนใหญ่เป็นประเด็นเก่า ซึ่งนายอภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ถูกอภิปรายก็สามารถชี้แจงได้ชัดเจน โดยเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจในจังหวัดระยองหลายคน ทุกคนค่อนข้างเฉยๆ กับการอภิปรายในครั้งนี้ บางคนบอกไม่สนใจด้วยซ้ำ

นักธุรกิจไม่ค่อยตื่นเต้นกับการอภิปราย ความรู้สึก ความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล ก่อนและหลังอภิปรายก็เหมือนเดิม จากนี้ไปไม่คิดว่ารัฐบาลจะมีปัญหาจากพรรคฝ่ายค้าน แต่น่าจะมีปัญหาจากภายในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาลเองมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่จะออกมา เพราะแต่ละพรรคก็คงอยากจะได้งบเข้ากระทรวงตัวเอง ซึ่งประเด็นนี้สำคัญกว่าพรรคฝ่ายค้านเยอะ นายสันติกล่าว

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการลงมติญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 5 คน ว่าไม่น่าแปลกใจหรือเกินความคาดหมายที่เสียงส่วนใหญ่ยังไว้วางใจ และไม่ได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและเศรษฐกิจดีขึ้นมากเท่ากับความต้องการมาตรการที่รัฐบาลจะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน

นายธนวรรธน์กล่าวถึงตัวเลขการส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่กระทรวงพาณิชย์แถลง ติดลบ ร้อยละ 11 ลดลงจากเดือนมกราคมที่ติดลบ ร้อยละ 26.5 นั้น ยอมรับว่าเกินความคาดหมาย และยังไม่อาจสรุปได้ว่าการส่งออกเริ่มกระเตื้องขึ้น จากเหตุผลหลายประการ คือ ในเดือนกุมภาพันธ์ส่งออกทองคำค่อนข้างสูงและเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดบ่อยนัก แต่ดูลงไปภาพรวมการส่งออกสินค้ายังติดลบในอัตราสูง ขณะนี้ภาคลงทุนยังไม่ขยับตัว สังเกตได้จากการนำเข้าที่ลดลงต่อเนื่อง 2 เดือนในอัตราที่สูง สะท้อนการลงทุนในอนาคตที่ยังไม่มั่นใจมากนัก

นายธนวรรธน์กล่าวว่า นอกจากนั้น จากการสำรวจผู้ประกอบการยังไม่ชี้ชัดว่ามีคำสั่งซื้อกลับมาเหมือนเดิม แม้จะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าแต่ก็ไม่เท่าเดิม ในการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจและการค้าโลกยังต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะสหรัฐ ที่ธนาคารกลางสหรัฐยังระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นในปี 2553 การว่างงานจะสูงถึง ร้อยละ 8.8-10 รัฐบาลสหรัฐก็ยังใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ผมว่ายังเป็นภาวะที่เกินคาดหมาย สถานการณ์มีโอกาสพลิกได้ตลอด ยังไว้วางใจไม่ได้ ภาพเศรษฐกิจและการส่งออกที่พลิกฟื้นยังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัดว่าดีขึ้น ดูจากภาวะน้ำมันที่ขยับมาอยู่ระดับ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากที่เคยลงไป 40 เหรียญ/ต่อบาร์เรล และเคยขึ้นเป็น 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บางช่วงบาทแข็ง บางช่วงบาทอ่อน ตลาดหุ้นตลาดเงินยังโยกย้ายเงินได้รวดเร็ว ซึ่งมุมมองต่อการส่งออกในไตรมาสแรกภาพรวมยังติดลบสูงถึงร้อยละ 25-30 และเศรษฐกิจติดลบ ร้อยละ 5 หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอีก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการส่งออกน่าจะดีขึ้นหลังไตรมาส 3 นายธนวรรธน์กล่าว

ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังเชื่อมั่นว่าไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 หรือในช่วง 6 เดือนหลังปีนี้ เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในภาพรวมน่าจะดีขึ้นได้บ้าง ซึ่งเป็นผลจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยและประเทศคู่ค้า ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ภาคการเงินไม่ทรุดตัวลงไปมากกว่านี้ และจะมีอานิสงส์ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อรถยนต์จากไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จึงยังคงเป้าหมายยอดการผลิตรถยนต์ปี 2552 ไว้ที่ 1.08 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 5.9 แสนคัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 4.9 แสนคัน และมีการนำเข้ารถยนต์มาจำหน่ายประมาณ 10,000 คัน

นายสุรพงษ์กล่าวถึงสถานการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.พ.) ว่ายอดผลิตรถยนต์ติดลบร้อยละ 49 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ว่าในช่วง 6 เดือนแรกปี 2552 ยอดผลิตรถยนต์ของประเทศไทยจะลดลงประมาณร้อยละ 40-50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า แต่ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 เชื่อว่าคำสั่งซื้อจะเข้ามา ทำให้ยอดผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อยอดผลิตรวมทั้งปีเป็นไปตามแผนการผลิตที่ตั้งไว้ 1.08 ล้านคัน หรือติดลบร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook