ชีวิตไม่มีนิยาม "โอปอล์ ปาณิสรา" มองโลกด้วยความจริง

ชีวิตไม่มีนิยาม "โอปอล์ ปาณิสรา" มองโลกด้วยความจริง

ชีวิตไม่มีนิยาม "โอปอล์ ปาณิสรา" มองโลกด้วยความจริง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มีใครต่อใครหลายคนต่างพยายามที่จะคิดหานิยามให้กับตัวเอง จนบางครั้งอาจลืมไปว่า จริงๆ แล้ว ชีวิตแบบไม่มีนิยามก็มีความสุขได้โดยไม่ต้องจำกัดขอบเขตอะไรให้มันมากจนเกินไป อย่างเช่นเธอคนนี้ “โอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุล” พิธีกรสาวอารมณ์ดีที่ถูกยกให้เป็นไอดอลของผู้หญิงยุคใหม่แบบที่ตัวเธอเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังมี ความคิดอ่าน การพูด ในแบบฉบับสาวยุคใหม่จริงๆ ซึ่งเธอได้เปิดใจกับทีมงาน Sanook! News ถึงการมองโลกด้วยความเป็นจริงที่ยอมรับได้ ไม่ใช่การเพ้อฝัน

เราถูกมองว่าเป็นผู้หญิงอารมณ์ดี ?
“พี่เป็นคนอารมณ์ดีมาก แต่มันก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป เราไม่ได้อารมณ์ดีกับคนที่ไม่ดีกับเราขนาดนั้น หรือเมื่อเกิดเหตุที่หงุดหงิดใจ เราก็หงุดหงิดใจเป็นธรรมดา แต่ด้วยพื้นฐานเราไม่ใช่คนที่โมโหง่าย มันไม่มีใครอารมณ์ดีได้ตลอดหรอก แบบนั้นมันเรียกว่าคนบ้า เราไม่ได้ต้องมองโลกในแง่บวกตลอดเพราะคนแบบนั้นจะเหมือนคนกำลังพยายาม คนที่พยายามจะดูน่าสงสารนะ จริงๆ แล้วพี่โชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนร่าเริง และครอบครัวพี่ไม่ได้ราบรื่น ดังนั้นพี่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยหรือโตมาในทุ่งหญ้าดอกไม้ที่ไม่เข้าใจโลก พี่รับความจริงได้ และเข้าใจมัน มันไม่ตายหรอก มันต้องอยู่ให้ได้ ทุกอย่างคือข้อเท็จจริงที่รู้มาตั้งแต่เด็ก เมื่อเกิดแล้วเราต้องรับให้ได้ เราไม่ได้มองโลกในแง่ดีขนาดนั้น เพียงแค่ต้องมองในความเป็นจริง”

นิยามชีวิตของเราคืออะไร ?
“มันตลกมากนะเรื่องนิยามของชีวิต การเกิดมาจนอายุสามสิบปลายๆ ขนาดนี้ ตอนที่ได้อ่านหนังสือดาราสมัยก่อนตอนเรายังเด็กๆ ก็จะมีคนตอบ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด บ้าหรือเปล่า เพราะชีวิตจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น ยิ่งโตเรายิ่งหาว่าคำตอบของชีวิตคืออะไร มันก็คือชีวิต ยิ่งโตยิ่งเรียนรู้ว่า มันคือการเกิดแก่เจ็บตาย มันคือความจริง เช่น สมัยที่เข้าวงการแรกๆ มีชื่อเสียงเงินทองก็จะตื่นเต้น แต่พอเวลาผ่านไปเป็นสิบปี แล้วหมอบอกว่าลูกพี่จะไม่รอด ชื่อเสียง เงินทอง ช่วยไม่ได้ พี่มีลูก พี่รักลูกมาก พี่ไม่รับงานเลยเพื่อจะได้อยู่กับลูกตลอดเวลา เพราะพี่เตรียมรับมือไว้แล้ว พี่จำได้เมื่อพี่อายุ 12-13 พี่พยายามหนีพ่อแม่ไปเที่ยว วันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น เราต้องรับมือให้ได้ ตอนนี้เมื่อลูกยังอยู่กับเรา มันคือ ณ นาทีนี้ ใช้กับเขาให้เต็มที่ ให้มีความสุขที่สุด”

1

หลายคนต่างยกให้เราเป็นไอดอลของผู้หญิงยุคใหม่ ?
“(หัวเราะ) ใช่ คนนั้นต้องทบทวนใหม่ ถ้าจากใจพี่นะคือส่วนตัวพี่ไม่ค่อยมีไอดอล จริงๆ มันไม่ใช่ไอดอลหรอก แต่เราดูชีวิตใครแล้วเรารู้สึกว่าอะไรที่มันนำมาปรับกับชีวิตเราได้ เราก็ดึงมามากกว่า เพราะชีวิตจริงพี่ไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่พี่ไม่ได้กดดันนะ เพราะไม่ได้คิดตามนั้น พี่ค่อนข้างเป็นคนปกติมากๆ เลย เข้าวงการมาตอนเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อนๆ ก็เป็นมนุษย์ทั่วไป พี่ทำอาชีพนี้ คิดซะว่ามันเป็นงานจริงๆ แล้วทำเพราะความรักและเลี้ยงชีพด้วยอาชีพพิธีกร นักแสดง พี่ไม่ได้มีความสุขว่าใครจะมองยังไง หรือมีความสุขกับชื่อเสียง พี่ไม่ได้กดดันเพราะพี่มีความสุข ใครมองเราไม่ดี เราจะมามองว่าไม่ดีคืออะไร แก้ไขได้ไหม ถ้าไม่ได้จริงๆ เช่น รูปร่างหน้าตา เราก็ต้องขอโทษไว้ แต่ถ้าติว่าเราพูดไม่เพราะ อันนี้เราแก้ไขได้ ค่อยมากดดัน”

การที่เป็นดาราเหมือนตกเป็นเหยื่อของโลกโซเชียล เรามองยังไงกับคำว่า บุคคลสาธารณะ ที่ถูกอ้างถึงบ่อยๆ ?
“ตรรกะมันง่ายมาก การที่เราเป็นคนสาธารณะและทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น คนจะชอบอ้างแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นที่ไปลิดรอนสิทธิ์คนอื่น แค่นี้เลย เราเชื่อว่าคนมีสติจะไม่ทำ แต่ชาวเน็ตบางท่านก็ยังทำกันอยู่ ซึ่งตอนนี้ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ก็มาค่อนข้างพีค เราดีใจ”

การคอมเม้นท์แต่ละอย่างมันกระทบต่อสภาพจิตใจเรามากไหม ?
“ทุกคนเป็นคน เวลาเราโดนด่าโดยที่เราไม่ผิด เราก็ต้องรู้สึกบ้าง แต่มันขึ้นอยู่กับภูมิต้านทาน ถ้าเป็นเบอร์พี่ก็จะไม่ค่อยรู้สึกแล้วเพราะโดนหนักมาตลอด จนแยกแยะได้ว่าต่อให้เขาด่าเรา ชีวิตเราก็ไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง ต่อให้เขาชมเรา ชีวิตเราก็ไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง พี่ก็เลือกที่จะอยู่กับคนใกล้ชิดหรือมนุษย์ที่เจอแล้วคุยกัน พี่ไม่คุยกับคอมเม้นท์ เพราะพี่เคยเจอคนที่คอมเม้นท์ด่าพี่แต่พอมาเจอตัวจริงพี่แล้วขอลายเซ็น เราไม่รู้ว่าร้อยพ่อพันแม่โตมายังไง เราแค่ไม่เป็นคนอย่างที่เขาเป็น และได้แค่หวังว่า ถ้าคนที่คิดไม่ได้จริงๆ กฎหมายคงจะทำให้เขาคิดได้ แต่ถ้ากฎหมายยังไม่ได้ก็รอเวรกรรม”

2

ในมุมของการเป็นคุณแม่ จากเมื่อก่อนจนถึงปัจจุบัน เหมือนที่เราเคยวาดภาพไว้ไหม ?
“พี่ไม่เคยวาดภาพว่าพี่จะเป็นแม่คน พี่แค่รู้สึกว่าพี่มีครอบครัวที่แข็งแรง มีพ่อแม่พี่น้องและหลาน พี่มีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างนั้น ตอนที่พี่โสด พี่ก็มีความสุขกับความโสด จนมาเจอพี่โอ๊คแล้วถึงรู้สึกว่าคนนี้แหละที่อยากสร้างครอบครัวด้วย ที่เหลือมันก็เป็นไปตามธรรมชาติเลย พี่ไม่เคยวาดภาพงานแต่งงาน ดังนั้นพอได้เป็นแม่จริงๆ ก็ไม่เครียด เพราะไม่เคยมีภาพแม่ในหัว เราก็เลยรู้สึกว่า เราอยากเป็นแม่ในแบบที่เราเป็น ในยุคนี้ที่เป็นยุคของข้อมูล คนเป็นแม่ต้องแข็งแรงมากเพราะจะมีข้อมูลมาหลายทิศทาง อันนี้ต้องแบบนี้นะ ต้องไม่เลี้ยงลูกแบบนี้ แบ่งเป็นโหมดความเชื่อโบราณ ความเชื่อทฤษฎีหมอ ความเชื่อรุ่นใหม่”

“แค่เราอัพรูปลูกหลับก็จะมีคนมาคอมเม้นท์ว่า ทำไมไม่ให้ลูกนอนแบบนั้นแบบนี้ เราเลยจะรู้ว่าบางทีคนแนะนำจะทำให้เราประสาท พี่ก็เลยอ่านหนังสือเรื่องลูกน้อยมาก ฟังคนอื่นแล้วได้แต่ยิ้มให้ข้อมูลผ่านหัวไปเลย เพราะฉันรู้ ฉันทำอะไรอยู่ เราโตแล้วตอนเรามีลูก สามีเราเป็นหมอ ที่เหลือเราใช้สัญชาตญาณความเป็นแม่หมด เราเชื่อว่าธรรมชาติความเป็นแม่จะทำให้เราเลี้ยงลูกได้ อีกอย่างเรายังพอมีแอปพลิเคชัน KIDDEEPASS ที่ช่วยเราได้ดีมาก เพราะเขาจะรวบรวมสถานที่ทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กไว้ในนั้น และที่สำคัญเขาเทียบราคาโปรโมชั่นให้ (หัวเราะ) สามารถกดจองหรือยกเลิกได้ในแอปฯเลย ไม่ต้องเสียเวลา”

เวลาออกนอกบ้านหรือแม้แต่อัพรูปลงไอจี น้องอลินกับน้องอลัน จะถูกจับตามองเยอะ สร้างภูมิคุ้มกันให้น้องยังไง ?
“พี่ต้องระวังมาก พอมีลูกแล้วก็เหมือนพ่อแม่ปกติที่เห่ออัพรูปลูก จนมาสังเกตว่าพอเริ่มพาลูกไปไหน คนจะเริ่มมาเรียกชื่อลูกเรา แปลว่าเขารู้จักลูกเรา เราต้องระวัง อย่างทุกวันนี้เวลาลงไอจีหรือเฟซบุ๊ก เราต้องระวังว่านั่นไม่ใช่การละเมิดสิทธิ์ของลูกเรา พี่ได้คุยกับพี่โอ๊คว่าจะกันลูกจากเรื่องประมาณนี้ค่อนข้างมาก อย่างมีคนทำเพจให้น้อง เราก็จะอินบ็อกซ์ไปว่าอย่าทำเลย ให้ลูกเราโตขึ้นและถ้าเขาอยากมีของเขาก็ให้เขาทำ เราแค่รู้สึกว่าขนาดเราเข้าวงการมาตอนยี่สิบกว่าๆ ชื่อเสียงเงินทองยังอันตรายเลย แล้วกับเด็กที่โตขึ้นมาแล้วมีคนจับตามองมาตั้งแต่เกิด เวลาไปไหนมีคนขอถ่ายรูป มันอันตรายถ้าเขาชิน วันหนึ่งถ้าไม่มี เขาจะคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน และเราก็คงให้คำตอบลูกไม่ได้ว่า ไม่ใช่ว่าลูกไม่ดี แต่ชื่อเสียงมันวูบวาบ ซึ่งเด็กจะเข้าใจอะไร”

“เราก็จะค่อนข้างกันเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เราโชคดีที่เวลาไปข้างนอกแล้วมีคนมาขอถ่ายรูปน้อง เราจะบอก ถ่ายกับพ่อกับแม่แทนเนอะ ให้เต็มที่ แต่รบกวนอย่าถ่ายกับน้องได้ไหมคะ แม่กลัวน้องชิน พูดแค่นี้คนเก็ทเลยนะแล้วมาถ่ายกับเรา เรามองว่ามันน่ารัก เรากลัวลูกชินเวลาไปโรงเรียนแล้วมาอุ้มลูกไปเลย อันตรายมาก พอเราเป็นพ่อแม่มันคือเหตุผลที่ช่วงนี้จะไม่ทำงาน ก่อนเข้าโรงเรียนจะอยู่กับลูกเยอะๆ ภูมิคุ้มกันมันเกิดจากการพูดคุย อย่างช่วงนี้เขาจะมีคำถามไว้ถามเราเยอะ ถ้าวันหนึ่งเขาเข้าใจ เราจะตอบเขาได้ว่าลูกคือลูก พ่อแม่คือพ่อแม่ แต่พ่อแม่ดันทำอาชีพที่คนรู้จัก ชื่อเสียงเหล่านี้ไม่ว่าคนพูดยังไงไม่ต้องไปรู้สึก”

“เหมือนตอนเราเข้าวงการแรกๆ แล้วมีคนกรี๊ด เรากลับไปตื่นเต้นกับพ่อแม่ พ่อบอกว่าวันนี้เขาชอบเราได้ พรุ่งนี้เขาอาจไม่ชอบเราก็ได้ มันทำให้เราไม่ยึดติดกับอะไรเลย เราก็คงสอนลูกแบบนี้เหมือนกัน ทั้งหมดมันคือการพูดคุยและใกล้ชิดลูก”

3

พี่โอ๊คสนับสนุนเรายังไงบ้าง ทั้งในฐานะพ่อของลูก และสามีของเรา ?
“คือที่สุดจริงๆ เราโชคดีมาก ในความเป็นแม่มันโฟกัสที่ลูก อยู่กับลูกจนบางทีหลงลืมหลายอย่างไป พี่โอ๊คเขาจะเป็นคนคอยดูแลเราอีกที ช่วยซับพอร์ตในเรื่องที่เราเข้าไม่ถึง เช่น วิชาการ การเลือกโรงเรียนลูก การกระตุ้นพัฒนาการลูก หรือด้านการแพทย์ทั้งหมด และเขาจะคอยซับพอร์ตจิตใจเราด้วย ตอนคลอดลูกมาครั้งแรกทุกคนจะช็อก เราต้องมารับผิดชอบสิ่งมีชีวิตนี้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าไม่อุ้มขึ้นมา พี่โอ๊คก็จะลางานยาวมาอยู่กับเรา หรือแม้แต่ตอนปั๊มนม พี่โอ๊คก็จะตื่นมาช่วยทุก 3 ชั่วโมง พอเขาซับพอร์ตทางใจเรา เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร”

วิธีการดูแลครอบครัวของเราคืออะไร ?
“มันง่ายมาก มันกลับสู่คำว่าชีวิตจริง ไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงเงินทองหรือคำว่าเธอเป็นใคร ฉันเป็นใคร มันคือเราแล้ว มันกลับไปหลักเดิมๆ คือรัก ใส่ใจ และเคารพซึ่งกันและกัน”

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ ชีวิตไม่มีนิยาม "โอปอล์ ปาณิสรา" มองโลกด้วยความจริง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook