ก้าวใหม่ อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ รุกธุรกิจขายแฟรนไชส์

ก้าวใหม่ อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ รุกธุรกิจขายแฟรนไชส์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4091

ภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลงทั่วโลก ทำความเคลื่อนไหวในแวดวงอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ช่วงนี้ดูเงียบเหงา

แต่ อินเด็กซ์ฯ หนึ่งในแบรนด์ เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ กำลังก้าวสู่ความท้าทายครั้งใหม่ด้วยการพลิกบทบาทจากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและพัฒนาสโตร์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง ภายใต้ชื่อ อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ โดยขยายไลน์สู่การขาย แฟรนไชส์ อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ เพื่อเปิดสาขาต่างประเทศ

ถือเป็นสเต็ปที่ 3 ของการพัฒนาธุรกิจ จากก้าวแรกที่เป็นผู้ผลิตและส่งออก เฟอร์นิเจอร์แบบรับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) ตามด้วยก้าวที่ 2 เป็นผู้ผลิตและส่งออก ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (อินเด็กซ์ฯ) และก้าวที่ 3 เป็นยุคของการขายแฟรนไชส์ เพื่อรองรับการขยายช่องทางจำหน่าย ในรูปสโตร์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งในต่างประเทศ

เบ็ดเสร็จเราใช้เวลาประมาณ 6 ปี นับตั้งแต่เริ่มเปิดบริการอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์สาขาแรกที่รังสิต ถึงปัจจุบัน มีทั้งหมด 17 สาขาในไทย กิจจา ปัทมสัตยสนธิ กรรมการบริหาร บริษัท อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด บอกกับ ประชาชาติธุรกิจ

การจับมือเป็นพันธมิตรกับ Gill Capital จากประเทศสิงคโปร์ ที่อยู่ในวงการธุรกิจค้าปลีก 30 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขายแฟรนไชส์อย่าง เต็มรูปแบบ หลังจากหลายปีก่อน เคยจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับคู่ค้า ในประเทศอินโดนีเซีย แต่ไม่ใช่รูปแบบแฟรนไชส์

ครั้งนี้อินเด็กซ์จะมีรายได้จากค่ามาสเตอร์แฟรนไชส์แรกเข้า การซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ และเปอร์เซ็นต์จากการขายเฟอร์นิเจอร์ต่อชิ้น

สำหรับ Gill Capital เป็นเจ้าของแฟรนไชส์บริหารร้านสินค้าแฟชั่นและเครื่องกีฬาแบรนด์ชั้นนำ อาทิ MNG (เสื้อผ้า) Reebok (รองเท้ากีฬา) ฯลฯ รวมกว่า 500 สาขาทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง เป้าหมายของการซื้อแฟรนไชส์ครั้งนี้จึงมุ่งไปที่การเปิดสาขาในประเทศแถบตะวันออกกลาง โดยเชื่อว่ายังเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงถึงแม้งานก่อสร้างในเมืองดูไบ (ประเทศยูเออี) เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง

อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาแรกภายใต้ระบบแฟรนไชส์ จะเปิดให้บริการบริเวณชั้นกราวนด์ภายในศูนย์การระดับโลก Dubai World (ดูไบเวิรลด์) เมืองดูไบ ภายในเดือนมิถุนายนนี้ เบ็ดเสร็จมีพื้นที่ขายสินค้า 5,000 ตร.ม.ใช้งบฯลงทุน 150 ล้านบาท ว่ากันว่า Dubai World เป็นศูนย์การค้าขนาดยักษ์ ที่รวมทุกสินค้าแบรนด์ชั้นนำไว้ที่นี่ โดยมีพื้นที่ขาย 4.5 แสน ตร.ม. หรือเกือบเทียบเท่า สยามพารากอน 2 แห่งรวมกัน

จากนั้นจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เมืองอาบูดาบี (ประเทศยูเออี) ประเทศโอมาน กาตาร์ บาห์เรน อย่างละ 1 สาขา และซาอุดีอาระเบีย 3 สาขา พร้อมกับตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 8 สาขา ภายใน 5 ปี นับจากนี้ไป

อินเด็กซ์ฯ ในฐานะเจ้าของแฟรนไชส์ วาดแผนว่าหลังเปิดสาขาในดูไบได้ 6 เดือน จะประสานงานกับพันธมิตรเพื่อจัดตั้ง ทีมขาย โครงการโดยเฉพาะโครงการ อพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมจับตลาดลูกค้าคนทำงาน

จากประสบการณ์ในการออกแบบและตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบ 3 มิติ 3 D รูม ทู โชว์ ให้กับโครงการคอนโดฯในเมืองไทยมาระยะหนึ่ง เฉพาะปีนี้มีคอนโดฯรอติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ร่วม 1.2 หมื่นยูนิต ถือเป็น คีย์ อันหนึ่งที่ทำให้อินเด็กซ์ฯ ต่างจากคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันอย่าง อิเกีย (จากสวีเดน) และ โฮม เซ็นเตอร์ (ทุนท้องถิ่น) ที่มีสาขาในเมืองดูไบ

ประมาณการว่าปีแรกจะมีรายได้จากลูกค้าโครงการ 300-400 ล้านบาท ไม่นับรวมยอดขายจากลิฟวิ่งมอลล์อีก 750 ล้านบาท และหากทุกอย่าง เป็นไปตามเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้า อินเด็กซ์ฯจะมีรายได้จากธุรกิจ แฟรนไชส์ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายรวม หรือเฉลี่ยปีละ 1,500-2,000 ล้านบาท หน้า 9

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook