สธ.ชี้ผู้ป่วยล้างไตช่องท้องขอสิทธิ์บัตรทองทะลุเกินเป้า

สธ.ชี้ผู้ป่วยล้างไตช่องท้องขอสิทธิ์บัตรทองทะลุเกินเป้า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้โรงพยาบาล 23 แห่ง ที่ได้เข้าร่วมการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีการล้างไตทางช่องท้องตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 ซึ่งเป็นวันแรกที่เริ่มโครงการนี้ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยโรงพยาบาลทั้ง 23 แห่งถือเป็นโรงพยาบาลนำร่องและปัจจุบันได้ขยายครอบคุลมทั่วประเทศ

นพ.ไพจิตร์ กล่าวถึงนโยบายการให้บริการบำบัดทดแทนไตของกระทรวงสาธารณสุขว่า จากนโยบายของนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการให้ผู้ป่วยไตวานเรื้อรังระยะสุดท้ายได้รับบริการในรพ.ของรัฐ เนื่องจากเป็นโรคที่ต้องมีค่ารักษาพยาบาลสูง และไม่ทำให้ผู้ป่วยต้องล้มละลายจากการรักษาพยาบาล โดยมอบหมายให้กรมการแพทย์ สำนักตรวจราชการ และสำนักวิชาการ เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาหน่วยบริการทั้งหมดทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมของระบบบริการ รองรับการดำเนินงานตามโครงการ

ในระยะแรกเน้นที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ก่อนจะขยายให้ครอบคลุมโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาบุคลากรด้วย โดยได้จัดอบรมพยาบาลจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ในหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการพยาบาลผู้ป่วยล้างไตช่องท้องจำนวน 70 คน นับเป็นรุ่นแรกของประเทศ รับรองโดยสภาการพยาบาลเพื่อการให้บริการผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงบริการมากที่สุด อันจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการขยายสิทธิประโยชน์ล้างไตทางช่องท้องให้กับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นมา โดยเริ่มต้นจากโรงพยาบาลนำร่อง 23 แห่ง จนถึงขณะนี้ได้มีการขยายโรงพยาบาลที่ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศแล้วจำนวน 105 แห่ง กล่าวได้ว่ามีเกือบครบทุกจังหวัดแล้ว ซึ่งสามารถให้บริการผู้ป่วยได้กว่า 2,300 ราย นับว่าเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก จากเดิมที่ตั้งไว้ว่าภายในปีงบประมาณ 2552 จะมีผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องในระบบ 3,000 ราย แต่เมื่อเข้าสู่ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณก็มีผู้ป่วยกว่า 2,300 ราย สะท้อนว่าจำนวนผู้ป่วยที่จะเข้าสู่ระบบมีจำนวนมาก ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขและสปสช.จะร่วมมือเพื่อขยายโรงพยาบาลให้ครอบคลุม และฝึกอบรมบุคลากรให้มีความพร้อมต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook