ปธ.หอการค้าชี้ม็อบซ้ำเติม ศก.มากขึ้น นายกฯ เผยนักธุรกิจผู้ดีสนใจลงทุนในไทยทั้งค้าปลีก-การเงิน

ปธ.หอการค้าชี้ม็อบซ้ำเติม ศก.มากขึ้น นายกฯ เผยนักธุรกิจผู้ดีสนใจลงทุนในไทยทั้งค้าปลีก-การเงิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ม.หอการค้าเผยผลสำรวจธุรกิจไทยพบขาดสภาพคล่องถึง 75% เหตุคำสั่งซื้อลด ชี้น่าวิตก ปธ.หอการค้าชี้ม็อบซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจไทย ซัดทำเพื่อคนเดียว แต่กระทบทั้งประเทศ สบน.เผยบริษัทจัดเครดิตเตรียมปรับมุมมองต่อไทยดีขึ้น เผยธุรกิจ75%ขาดสภาพคล่อง

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 2 เมษายน ถึงผลสำรวจ ประเมินสภาพคล่องและสถานภาพธุรกิจไทย ระหว่างวันที่ 26-31 มีนาคม 2552 พบว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ถึง 74.9% ระบุว่าธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าวิตกและสูงขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนปลายปี 2551 ที่ธุรกิจระบุขาดสภาพคล่องไม่เกิน 70% สาเหตุอันดับแรกคือยอดคำสั่งซื้อลดลง คิดเป็น 92.9% รองลงมาคือปัญหาขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน 5% ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ 1.5% และลูกค้าไม่จ่ายค่าสินค้า 0.6% อย่างไรก็ตามธุรกิจ 54.6% ระบุว่ายังไม่ต้องการสินเชื่อเพิ่มตอนนี้ แต่ 45.2% มีความต้องการสินเชื่อเพิ่ม เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่อง ปรับปรุงการผลิต และขยายธุรกิจ ทั้งนี้ภาคธุรกิจ 40% ระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจ การเงิน และการเมืองของประเทศขณะนี้มีผลกระทบต่อธุรกิจ

วันเดียวกัน นายเคียวกิ โคมาชิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ขณะเดินทางไปยังศูนย์ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยาว่า เชื่อว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นหรือฟื้นตัวแน่นอน เพราะทุกรัฐบาลของประเทศยักษ์ใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นต่างเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเอง เมื่อเศรษฐกิจหลายประเทศดีขึ้น เศรษฐกิจประเทศไทยก็จะดีขึ้นด้วย

ปธ.หอการค้าห่วงม็อบซ้ำเติมศก.

หอการค้าไทย ออกแถลงการณ์ โดยนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า ขณะนี้ไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกทรุดตัวลงอย่างรุนแรง การส่งออกลดลง 25% ภาคผลิตลดลง 30% ภาคเอกชนพยายามร่วมมือและดิ้นรนกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศคลี่คลาย รัฐบาลก็ช่วยให้การลงทุนรวมและความเชื่อมั่นประเทศดีขึ้น ขณะที่ทั่วโลกก็พร้อมใจแก้ปัญหาของตนอย่างจริงจังทำให้ความเชื่อมั่นโดยรวมดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่คาดว่าจะเลวร้ายอย่างมาก ไม่เป็นอย่างคาดการณ์กันไว้

แต่ในไทยกลับมีการใช้คำพูดที่รุนแรงยั่วยุให้เกิดความแตกแยก เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศให้เลวร้ายลงไปกว่าเดิม กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน สิ่งที่ทุกภาคส่วนพยายามทุ่มเทแก้ปัญหาก็จะเสียเปล่า ผลกระทบด้านลบก็จะตกอยู่กับผู้ประกอบการไทย แรงงานไทย คนไทยทุกคน รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศทั้งหมด นายดุสิตระบุ

นายดุสิตระบุว่า เอกชนต้องการเห็นอำนาจหลักทั้ง 3 ของกระบวนการประชาธิปไตย ประกอบด้วยอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญันาจตุลาการ ทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งมีประสิทธิภาพ สร้างความสงบสุขให้กับชาติบ้านเมือง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ไม่ควรได้รับการกล่าวถึงโดยปราศจากเหตุผล

ซัดทำเพื่อคนเดียวกระทบทั้งปท.

บุคคลผู้เป็นเหตุของการบั่นทอนควรใช้สติทบทวนและไตร่ตรองโดยรอบคอบ ต้องมองถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ มิใช่ประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง มันน่าละลายที่ทุกชาติร่วมใจกันแก้ไขปัญหา แต่เรากลับพยายามสร้างปัญหาเพิ่มให้ชาติ อยากให้ยุติการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนที่ผลกระทบจะส่งผลเสียหายไปมากกว่านี้ นายดุสิตระบุ

นายดุสิตกล่าวว่า เอกชนกังวลต่อปัญหาการเมืองค่อนข้างสูง จากผลสำรวจให้น้ำหนักถึง 7.2 คะแนนจากเต็ม 10 หากการประท้วงยังยืดเยื้อ จะเพิ่มดีกรีผลกระทบของประเทศ น่าจะคิดกันได้ว่าควรประท้วงหรือไม่ ทำเพื่อคนคนเดียวแต่กระทบกับคนทั้งประเทศ ทำให้สถานการณ์แย่ลง น่าจะคิดได้ว่าควรทำหรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่เห็นด้วยที่รัฐจะใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรง เช่น พ.ร.บ.ฉุกเฉิน คนสร้างปัญหาน่าจะยุติก่อน

ผลงานของรัฐบาล 3 เดือนที่ผ่านมา เขาก็ทำการบ้านมาดี ตั้งใจทำงาน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและดำเนินการในทางที่ถูกต้อง เช่น การออกมาตรการต่างๆ หากคะแนนเต็ม 10 ก็ให้เต็ม 10 หากคะแนนเต็ม 100 ก็ให้เต็ม 100 นายดุสิตกล่าว

สบน.ปูดบ.เครดิตเล็งมุมมองไทย

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า สบน.ได้รับการแจ้งจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือแห่งหนึ่งว่าอาจปรับสถานะของประเทศไทยจากมุมมองในเชิงลบ(Negative outlook) เป็นมุมมองที่มีเสถียรภาพ (Stable outlook) ภายใน 1-2 วันนี้ หลังจากที่ปรับลดมุมมองตั้งแต่มีการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เมื่อเดือนธันวาคม 2551 โดยบริษัทดังกล่าวให้เหตุผลว่า สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงออกมาเพิ่ม แต่รัฐบาลสามารถคุมสถานการณ์อยู่ ที่ไม่ให้ผูมนุมยึดสถานที่ราชการได้ แม้จะมีคลื่นใต้น้ำอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติทางการเมือง

นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลออกมาตรการทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การจัดทำงบประมาณกลางปีเพิ่มเติม 1.167 แสนล้านบาท การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นระยะๆ เท่ากับว่าสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ การเอาคำว่า Negative ออกไปน่าจะทำให้ช่องว่างระหว่างเงินกู้ในตลาดโลกปรับลดลง ต้นทุนทางการเงินก็ลดลงด้วย

มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) ในฐานะนายกสมาคมบริษักหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเผย ว่า หากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงยืดเยื้อ เชื่อว่าเป็นกี่สถาบันจัดอันเครดิตจะปรับเครดิตของไทยกลับมามีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากการบริหารงานของรัฐบาลในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ถือว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากรัฐบาลสามารถทำงานด้านต่างๆได้อย่างมีเสถียภาพ ประกอบกับสถานะสถาบันการเงินไทยยังแข็งแกร่ง อาจส่งผลดีต่อประเทศไทยที่จะมีต้นทุนการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศลดลง

มาร์ค เผยต่างชาติเข้าใจไทย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ 20 ชาติ(จี-20) หรือลอนดอน ซัมมิท ที่ประเทศอังกฤษ ใหัสัมภาษณ์ ว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาควรได้รับการตอบสนองจากการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และองค์กรระหว่างประเทศต้องมีความพร้อมในการสนับสนุน กระตุ้น คุ้มครองประเทศที่มีรายได้น้อย

นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งภายหลัง ร่วมประชุมสัมมนาเชิงธุรกิจกับนักธุรกิจชั้นนำของอังกฤษ และกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ASEAN Expectations of G20 และ Update on Thailand ว่า นักธุรกิจอังกฤษที่พบ ส่วนใหญ่มีธุรกิจในประเทศไทยอยู่แล้ว จึงให้ความสนใจซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งหลังจากชี้แจง นักธุรกิจมีความมั่นใจ และพร้อมขยายการลงทุนต่อไป รวมทั้งเข้าใจภาวะทางการเมืองของไทยที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

รัฐบาลยืนยันว่า จะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม แต่ก็จะไม่ปล่อยให้เกิดความชะงักในการทำงาน โดยทำให้นักธุรกิจเกิดความมั่นใจ และพร้อมเข้ามาขยายการลงทุน ซึ่งนักธุรกิจอังกฤษสนใจในทั้งธุรกิจค้าปลีก บริการการเงิน รวมทั้งที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นายกฯกล่าวและว่า ส่วนปัญหาที่นักลงทุนค้างคาใจ เช่น กฎหมายธุรกิจต่างด้าว การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อได้ชี้แจงว่าไทยมีนโยบายชัดเจนว่าจะดำเนินการตามกติกาสากล ก็ไม่มีใครติดใจอีก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook