วาทกรรม 4 องคมนตรีเล่นบทพิทักษ์สถาบันในสถานการณ์ทักษิณรุกคืบ-ปลุกเสื้อแดงยึดอำนาจรัฐ?

วาทกรรม 4 องคมนตรีเล่นบทพิทักษ์สถาบันในสถานการณ์ทักษิณรุกคืบ-ปลุกเสื้อแดงยึดอำนาจรัฐ?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเปิดฉากรุก เมื่อค่ำวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการเปิดโปงถึงผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พลงอ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและร่วมวางแผนโค่นล้มรัฐบาลของตนเองแล้ว อดีตนายกรัฐมนตรียังรุกคืบปลุกแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มเสื้อแดงให้ลุกฮือขึ้นมาประท้วงทั่วประเทศพร้อมกับข้อเสนอให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาบังคับใช้ ยุบทิ้งทั้งส.ส. และ ส.ว. โละทิ้งกรรมการ องค์กรอิสระและ คืนสิทธิให้นักการเมืองที่ถุกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจาการยุบพรรค

แม้มิได้บอกอย่างตรงไปตรง แต่การดำเนินการดังกล่าวก็คือ การยึดอำนาจรัฐกลับคืนนั่นเอง

คำถามที่เกิดขึ้นคือ หลังจากรยึดอำนาจรับสำเร็จแล้ว อะไรคือเป้าหมายต่อไป แน่นอนคำตอบของฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบอย่างฟันธงว่า มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการคือ

1.ต้องการทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาทที่ถูกอายัดไว้และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีร่ำรวยผิดปกติคืน

2.นิรโทษกรรมหรืออภัยโทษที่ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีซื้อที่ดินถนนรัดชาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตาม มาพิจารณาข้อกล่าวหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวหา บรรดาองคมนตรี จนทำให้เกิดวาทกรรมขององคมนตรีทั้ง 4 คน มีประเด็น ดังนี้

1. .กล่าวหา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญขัดขวางการทำงานของรัฐบาลตนเอง

2.กล่าวหา พล.อ.เปรมเกี่ยวข้องกับการเมืองทำความเสื่อมเสียแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น เชียร์หรือสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

3.กล่าวหาพล.อ.สุรยุทธ์ กับองคมนตรีอีกคนหนึ่ง ไปร่วมประชุมกับพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รองผอ.กอ.รมน. นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นายชาญชัญ ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ในขณะนั้น) นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายปราโมทย์ นาครทรรรพ ที่บ้านนายปีย์ มาลากุล เพื่อหารือถึงการโค่นล้มตนเอง รวมทั้งร่วมวางแผนลอบสังหาร

4.กล่าวหา ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ล็อบบี้ให้พล.อ.จารุภัทร์ เรืองสุวรรณ ลาออกจากกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

ฯลฯ

ท่ามกลางการรุกหนักของ พ.ต.ท.ทักษิณและสมุนเสื้อแดงนั้น

บรรดาองคมนตรีได้ออกมาชี้แจงและพุดต่อที่สาธารณะต่างกรรมต่างวาระกัน

เริ่มจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง เป็นเป้าหนึ่งที่ถูกโจมตีมากที่สุดออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ความว่า

ยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะวางแผนการทำรัฐประหาร ถ้าจำไม่ผิด การพบปะครั้งนั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2549 โดยที่นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เชิญไปพบ ก็ไม่ได้มีการเตรียมการมากมาย เพราะในช่วงนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไป

ผมอยากเรียนว่า ในฐานะที่ผมเองต้องติดตามข่าว ก็จำเป็นต้องพบปะพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง หากท่านติดตามสถานการณ์ จะเห็นว่า ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่อาจจะเรียกว่า เป็นเรื่องของตุลาการในการเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ในวันนั้นผมก็มีความตั้งใจเพียงฟังข้อคิดเห็น จากฝ่ายตุลาการระดับสูงเท่านั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตุลาการที่รู้จักเพียงท่านเดียว คือ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น ถือเป็นโอกาสได้ฟังความคิดเห็น การพูดคุยก็มีการเปลี่ยนความคิดเห็น แต่ไม่ได้มีการกระทำใดๆ หากมีการพูดเรื่องการทำรัฐประหารกับผู้พิพากษาหรือตุลาการ คงไม่สมเหตุผลเลย ถ้าพูดกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ คงเป็นเหตุผลกว่า นอกจากนี้ ตนรู้จักนายปีย์มานานพอสมควร นายปีย์ก็อยู่ในฐานะที่เป็นสื่อ จึงยืนยันได้ว่า หากอยากได้ข้อมูล ก็สามารถสอบถามจากนายปรีย์ได้

ผมขอเรียนว่าได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน ทั้งการเคลื่อนย้ายกำลังในการฝึกบริเวณชายแดน ก็เป็นการดำเนินการ ที่กองทัพบกได้ทำเรื่องอนุมัติจาก พล.ร.อ.ณรงค์ ยุทธวงศ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น เมื่อวันที่ 22 เมษายน ปี 2545 เราได้คำสั่งอนุมัติหลักการในการดำเนินการฝึกได้ แต่เป็นคำสั่งในชั้นความลับ จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า หลังจากนั้น เมื่อรัฐบาลเห็นว่าไม่มีความเหมาะสม ก็ได้ถอนกำลังกลับประมาณวันที่ 20 พฤษภาคมปีเดียวกัน การที่มีคำพูดที่อ้างว่า มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนั้น คิดว่าไม่เกี่ยวกับกำลังฝ่ายไทย บริเวณชายแดนมีกำลังของคนกลุ่มน้อยอยู่ด้วย กองทัพบกไม่เกี่ยวข้อง ผลการสอบสวนก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่ใช่เรื่องที่กองทัพดำเนินการ

ผมขอเรียนว่า หลายสิ่งที่ออกมาพูดไม่ได้อยู่บนความเป็นจริง อยู่บนข้อมูลคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดความคิดที่กระทบกับผมเอง พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่ าตนไปพบ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โทรศัพท์มาขอให้ไปช่วยพูดด้วย เพราะโอกาสที่กกต.ทั้งหมด จะถูกฟ้องศาลมีมากและโอกาสที่จะพลาดมีสูง ก็ได้พูดคุยกัน จนกระทั่งพล.อ.จารุภัทร ได้มาขอบคุณตน ถ้าไม่ฟัง ก็คงถูกศาลตัดสินลงโทษไปแล้ว ที่ให้ข้อคิดเห็นไป ก็ขึ้นกับ พล.อ.จารุภัทร เพราะเป็นผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นเท่านั้นไม่ใช่คนที่จะไปสั่งใครทำสิ่งใดได้

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า จะไม่ฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ต้องการให้ทุกท่านได้ทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น โดยข้อสรุปที่ได้หารือในวันนั้น ตนไม่ได้โมโห เพราะเข้าใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ประสบปัญหาอะไร เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนรับทราบ อย่าฟังเพียงด้านเดียว แล้วพิจารณาว่าสิ่งใดมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ยังไม่เคยออกมาเปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่ผ่านมาอย่างเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง กระทั่งวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา นักเรียนเก่าและศิษย์เก่ามหาวชิราวุธ จ.สงขลาได้เข้าคารวะ จึงถือโอกาสนี้กล่าวชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ ความว่า

ขอพูดบางกอกน่ะ ใจคอไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ คุณทักษิณ ท่านกล่าวหา 3 อย่าง ข้อ 1 เขาเปิดเผยว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือเรา คือคนเขารู้หมดแล้ว ตั้งแต่คุณทักษิณพูดตั้งแต่วันนั้นแล้ว คุณทักษิณว่า แต่เราพยายามถามเขาตอนนั้น ว่าหมายถึงเราใช่ไหม เขาก็ไม่ตอบ แล้วเราก็ถามอีกว่า ถ้าไม่ใช่เรา ก็ขอให้บอกมาว่าใคร ให้รู้กันชัดๆ ไม่ได้ถามแต่คุณทักษิณ ให้คนถามคุณหญิงอ้อ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ) ว่า งั้นให้ช่วยพูดหน่อยได้ไหมว่า ที่คุณทักษิณพูดว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่ผม

เขาก็ไม่พูด ตกลงไม่พูดไม่ตอบ ทั้งสามคำถาม ซึ่งจริงๆ เราก็รู้ว่า เขาหมายถึงเรา ตอนนั้นคุณทักษิณ ไปพูดที่ไหนไม่รู้ แล้วก็เปิดเผย ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือ พล.อ.เปรม

ข้อ 2 เขากล่าวหาว่า เราอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติของคุณสนธิ (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.) เราก็ไม่รู้ว่าจะไปชี้แจงเขาได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่ได้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ เราจะอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติไม่ได้ เพราะเราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปปฏิวัติ และเราก็ไม่มีอิทธิพลพอที่จะไปบอกคุณสนธิว่า ปฏิวัติเถอะเพราะตอนนั้น รัฐบาลคุณทักษิณนี่ แย่มากๆ คนกำลังเล่นงานรัฐบาลทักษิณอยู่ ถ้าคุณจำได้ เขาจึงไชโย ไชโยกัน ตอนที่ทหารออกมาปฏิวัติ คุณทักษิณก็บอกว่า ป๋าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติครั้งนี้ เบื้องหลังนี่ หมายความว่าอย่างไรก็ไม่รู้ เรานี่คงจะไปยุแหย่ หรือไม่ก็รู้ว่า คุณสนธิจะปฏิวัติ แต่ก็จริงๆ เรามิได้เกี่ยวข้อง เขาก็ปฏิวัติกันไป

ก็คิดดูกันเอาก็แล้วกันว่า ถ้าเรามีอิทธิพลพอที่จะไปบอกคุณสนธิว่า คุณไปปฏิวัติ คุณสนธิ ก็แย่ เพราะคุณสนธิต้องคิดเองว่า ทำไมจึงต้องปฏิวัติ มีเหตุใดที่ปล่อยให้รัฐบาลคุณทักษิณอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่มาเชื่อเรา ฉะนั้น เราไม่ได้อยู่เบื้องหลังเบื้องหน้า

ข้อ 3 เขาบอกว่า เราเป็นคนนำผู้บัญชาการเหล่าทัพไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็ไม่จริง คืนนั้นเขาประกาศปฏิวัติกัน ประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ คือ วันที่ 19 กันยายน พอเราได้ยินว่า เขาปฏิวัติกันไป เราก็เข้าไปในพระราชวังสวนจิตรลดา ที่เราเข้าไป เพราะเป็นหน้าที่ของเรา ที่เป็นองคมนตรีเนี่ย เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ เราก็ต้องไปอยู่ใกล้ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เผื่อว่า ท่านจะมีพระราชกระแสรับสั่งอย่างไรบ้าง เราจะได้รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมมาปฏิบัติเพราะมันเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน

เราเข้าไปประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ คุณสนธิกับ คุณชลิต ผบ.ทอ. (พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข) 2 คนนั้น เข้าไปเมื่อตอน 5 ทุ่มเศษ คุณสถิรพันธุ์ ผบ.ทร.(พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์) มาทีหลัง มาเกือบ 2 ยาม แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้นำ 3 คน เข้าไปที่พระราชวังสวนจิตรลดาเพื่อเข้าเฝ้าฯ เราไปของเราเอง แต่พอตอนที่เมื่อพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมา

เราเล่าข้ามตอนไปนิดว่า พวกที่เข้าไปบอกสมุหราชองครักษ์ว่า เขาจะมาเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมุหราชองครักษ์ก็ไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สักพักหนึ่ง ก็เสด็จลงมาทั้ง 2 พระองค์ พวกนี้ก็ไปเข้าเฝ้าฯ แต่มีเราอยู่ด้วย นอกจาก 3 คนแล้ว ยังมีเราอีกคนหนึ่ง ซึ่งรูปถ่ายก็มี รูปถ่ายนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปลงในหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น เราก็เป็นคนเข้าไปร่วมในการเฝ้าฯ จะว่าเรานำเข้าเข้าเฝ้าฯก็ไม่ถูก แต่ว่าเราไปอยู่ในที่นั่นด้วย

เพราะฉะนั้น ที่คุณทักษิณบอกว่า เราเป็นคนที่นำ 3 คนนี้ไปเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะเราเข้าไปก่อน ชั่วโมงกว่า และเราก็ไม่รู้ว่า เขาจะมาหรือไม่มา เรารู้ก็ต่อเมื่อคุณสนธิเข้าไปกับคุณชลิต ไปเจอเราในพระราชวังสวนจิตรลดาแล้ว นี่คือเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้น

เราขี้เกียจไปต่อความยาวสาวความยืด ไม่แก้ตงแก้ตัว พะจุณณ์ (พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี) ก็ทราบดี พวกเราก็ทราบดี เล่าให้ฟังเพื่อจะได้รู้ว่า ที่จริงมันเป็นอย่างไร ที่จริงคุณทักษิณก็มาบ้านเราหลายครั้ง คุณอ้อก็มาหลายครั้ง แล้วเมื่อคุณทักษิณถูกปฏิวัติ แล้วคุณอ้อก็มาอีก แล้วหนังสือพิมพ์ก็เล่นงานเรา จำได้ไหม คุณอ้อก็มาให้ป๋าช่วยเหลือ ตอนนั้น สักประมาณปลายๆ เดือนกันยายน

ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ เพื่อจะได้รู้ว่า เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนั้น เป็นมาอย่างไร อยากจะพูดกับทุกคน และขอบใจว่า เราเนี่ย เราถือว่า เราไม่มีศัตรู ไม่มีฝ่ายตรงข้ามกับเรา เพราะเราถือว่า เราจะทำหน้าที่ของเรา เพื่อคนไทยทุกคน แต่บางส่วน เขาเห็นว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา เราก็ไม่ว่าอะไร เขาอยากเป็นฝ่ายตรงข้าม ก็เป็น แต่เรา ไม่เป็นด้วย เราถือว่า เราทำเสมอภาค ไม่มีฝ่ายตรงข้าม แต่นี่ มีบางคนเห็นว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณ ความจริง เราก็ไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณทักษิณหรอก ที่เขาปฏิวัติ รู้สึกว่า เขาจะมีเหตุผลพอสมควร

นี่คือที่อยากให้เข้าใจ ให้รู้เรื่อง ก็ขอบใจที่มากัน และมีหลายคน ที่โทรศัพท์มาบ้าง มาพบเองบ้าง ขอมาเชียร์ และมาให้กำลังใจ ผมขอบอกว่า ขอบคุณ กำลังใจผมยังอยู่เต็มร้อย ผมไม่มีปัญหา ผมโดนมาเยอะแล้ว ผมโดนมามากกว่านี้ด้วยซ้ำไป

อย่างตอนที่ผมเป็นแม่ทัพ ผมไปปราบ ผกค. (ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เขาก็พูดว่า ปราบพวก ผกค. ผมบอกว่า ผมไม่ได้มาปราบพวกคุณหรอก ผมมาทำความเข้าใจกับพวกคุณว่า เราเข้าใจถูก เข้าใจผิดกันอย่างไร ผมไม่มีหน้าที่จะมาปราบคนไทยหรอก มีหน้าที่มาช่วยเหลือพวกคนไทยด้วยกันว่า ทำอย่างนี้ ไม่ถูกหรอก ควรจะทำอย่างนี้มากกว่า เพื่อจะได้รู้ว่า ผมไม่คิดว่า คนไทยเป็นศัตรู เป็นฝ่ายตรงข้าม ผมมีหน้าที่ที่จะทำให้คนไทยรักกัน ชอบพอกัน

อันนี้ ถ้าหนังสือพิมพ์ถามผม ผมก็จะตอบ บางคนเขาบอกว่า ผมควรจะมาชี้แจง ผมคิดว่า ยังไม่ชี้แจงหรอก แต่ถ้าเผื่อถามก็จะชี้แจง แต่เล่าให้พวกเราฟัง โดยเฉพาะเด็กๆ ทั้งหลาย เพื่อที่จะได้รู้ความจริง

อีก 2 วันต่อมา นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี อีกคนหนึ่งก็ออกมาปกป้องสถาบัน โดยกล่าวในงานปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อชาติและประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2552 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา มีการใช้คำค่อนข้างรุนแรงถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกว่า ผู้ที่ทำไม่ดีกับสถาบันมักมีอันเป็นไป โดยมีเนื้อหาบางส่วน ดังนี้

ผมเป็นอดีตข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปัจจุบันเป็นองคมนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือเหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้ รายการอะไรที่เขาเรียกว่าโฟนอินอะไรต่างๆ ดังนั้นในฐานะองคมนตรีจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การจะแต่งตัว การจะพูด การจะอ้างอิง ก็คงต้องระมัดระวัง ยิ่งมีการถ่ายทอด เสื้อนี่ผมก็ต้องระวัง เหลืองก็ต้องเก็บไว้ก่อน เนคไทน์แดงก็อย่าใช้ ตอนนี้ชักห่วงมีสีอื่นอีกแล้ว คงเหลือแต่สีขาวและสีดำที่ยังใช้ได้ตลอด ทำให้ต้องระวัง บางทีได้ยินข้อมูลอะไรมาใหม่ๆ ก็ไม่กล้านำมาเล่าต่อ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะกล่าวในชุมชน ทำให้หมดสนุกไปเยอะในการมาบรรยายเช่นนี้

ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเอง บางคนไม่ทราบว่าองคมนตรีคือกลุ่มคนประเภทไหน ทำอะไร ก็เลยอยากเอามาสรุปให้ฟัง ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 หมวด 2 มาตรา 12 พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่ง และองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 18 คนประกอบเป็นคณะองคมนตรี คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 13 การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรี หรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานองคมนตรี หรือให้ประธานองคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีอื่นหรือให้องคมนตรีอื่นพ้นจากตำแหน่ง

มาตรา 14 องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดๆ

มาตรา 16 องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

นี่เป็นสรุปหน้าที่ขององคมนตรี ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 19 ท่าน อายุประมาณ 60-88 ปี และมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทั้ง 19 คน ประกอบด้วย ด้านนิติศาสตร์ 8 คน ด้านการทหาร 4 คน ด้านวิศวกรรม 4 คน ด้านวิทยาศาสตร์ 1 คน ด้านรัฐศาสตร์ 1 คน และด้านการเกษตร 1 คน ส่วนสถานะสมรส 14 คน และเป็นโสด หรือม่าย 5 คน

ผมเองได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2537 และได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนด้วยข้อความว่า ข้าพระพุทธเจ้า (นายอำพล เสนาณรงค์) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ

การที่ผมได้เป็นองคมนตรีโดยไม่ได้คาดฝันมาก่อน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตื่นเต้นมาก และนับจากวันนั้นจนถึงบัดนี้ เป็นเวลาประมาณ 15 ปี ผมได้ปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ฯ นี้โดยเคร่งครัด และมั่นใจว่าตั้งแต่รับราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2499 ผมได้ปฏิบัติเหมือนคำปฏิญาณโดยมิคลาดเคลื่อน และจะปฏิบัติต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

สำหรับคุณสมบัติของข้าราชการไทยที่ดี ผมขออัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งบางประโยคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานไว้มากล่าวไว้ ณ ที่นี้เพื่อความเป็นสิริมงคลคือ ข้าราชการพลเรือนต้องยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้องเป็นธรรม พยายามปฏิบัติตนปฏิบัติงานให้สัมพันธ์ ประสานงานกับบุคคลฝ่ายอื่นให้ได้ ปฏิบัติเพื่อส่วนรวมอยู่เสมอ อย่านึกถึงบำเหน็จ หรือผลรางวัลให้มากนัก ผมคิดว่าเราทุกคนคงได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติมาโดยตลอด

การสร้างคนให้เป็นคนดี ให้เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมมักพูดถึง 2 ส่วนใหญ่คือ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม สำหรับเรื่องการทำงานจะมีตัวอย่างที่ดีและไม่ดี พวกข้าราชการพลเรือนจะเสียเปรียบข้าราชการทหารและตำรวจ เพราะเขาจะสอนเรื่องวินัย จะเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา แม้บางครั้งจะเป็นคำสั่งที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เขาถือว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา ต้องปฏิบัติ ถ้ากองทัพ หรือตำรวจไม่มีวินัย อันนั้นคือกองโจร

แต่สำหรับข้าราชการพลเรือนเมื่อเข้าไปก็ต้องดูนาย ซึ่งมีทั้งนายดีและไม่ดี เขาเรียกว่าหัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ถ้านายดี ลูกน้องก็ค่อนข้างดี แต่ถ้านายหากิน ลูกน้องก็มักเป็นอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าเสียดาย บางคนก็ถอยอออกมา แม้จะอยู่ในสภาพพายเรือให้โจรนั่ง แต่ก็ต้องอยู่อย่างนั้น เพราะเราเป็นข้าราชการไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องทนจนกว่าเขาจะไป

สิ่งที่ข้าราชการยึดถือเป็นหลักได้มี 2 ส่วนคือ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่าเราคนไทยโชคดีที่มีแบบอย่างที่ดี ผมเคารพในหลวงท่านเหมือนพ่อหลวง เหมือนเจ้าหลวง เหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง ผมเคยเห็นตัวอย่าง ใจผมคิดว่าถ้าใครทำอะไรไม่ดีเกี่ยวกับสถาบันมักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตัน

อยากเรียนว่าในองค์พระประมุขของเรา ท่านเป็นประมุขของประเทศไทย ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทยทางคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล และทรงปฏิบัติโดยเคร่งคัด ไม่เคยล่วงละเมิดเลย แต่หลายคนพยายามอ้างว่าท่านละเมิด ไม่ได้ปฏิบัติตามนี้ ผมขอยืนยันว่าไม่จริง ท่านไม่เคยละเมิดเลย ท่านปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

ตามรัฐธรรมนูญ พระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องประกอบพระราชภารกิจใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะงานวิจัย งานพัฒนา งานส่งเสริมอาชีพประชาชน แต่เนื่องจากพระองค์ทรงทราบสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน จึงทรงมีพระปณิธานตั้งแต่ทรงครองราชย์ว่าจะช่วยเหลือประชาชน แก้ไขความทุกข์ยากให้ประชาชน และทรงสละพระราชทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริต่างๆ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ไม่เคยละเมิดรัฐธรรมนูญเลย

สิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติคือการยึดหลักทศพิธราชธรรม ซึ่งหลักทศพิธราชธรรมไม่ใช่สิ่งหวงห้าม เป็นสิ่งที่ข้าราชการนำไปปฏิบัติได้ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงไว้ซึ่งพระราชประสบการณ์อันยาวนาน ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจยาวนานถึง 60 ปี เคยผ่านรัฐบาลอย่างน้อย 37 คณะ นายกฯถึง 18 คน นายกฯ บางคนมาแป๊บเดียว เพิ่งผ่านนโยบายก็ไปแล้ว แต่พระองค์ท่านต้องเฝ้าดู พยายามนำสิ่งต่างๆ มาแนะนำ หลายคำแนะนำที่พระราชทานให้ บางทีเขาก็ไม่เชื่อนะ แต่ก็ยังดีที่รับใส่เกล้าฯ แต่ไม่ปฏิบัติ

นอกจากนี้ ท่านยังทรงแปรพระราชฐาน 71 จังหวัดในช่วงปี 2496-2502 การทำงานของข้าราชการก็จำเป็นต้องผ่านสัมผัส 5 ต้องเห็นด้วยตนเอง

ท้ายที่สุดผมรู้สึกเป็นเกียรติ และมีความสุขที่ได้รับเชิญมาบรรยายในวันนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมมีชีวิตและเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ผมเคารพบูชารัก และถวายความเคารพยิ่งกว่าชีวิตโดยมิได้เสแสร้ง หรือมีกฎเกณฑ์ใดๆ บังคับ แต่โดยที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นอกจากมีความสุขกาย สบายใจ และมีชีวิตยืนยาว

ในโอกาสนี้ผมใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านให้เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤต และปัญหาความแตกแยกเช่นปัจจุบันนี้ ผมมั่นใจว่าหากท่านยึดแนวปฏิบัติ แม้เสี้ยวหนึ่งของพระองค์ท่าน ก็จะทำให้เจริญ สุขกาย สบายใจ ไม่เหนื่อยยาก มีชีวิตยืนยาว มีกำลังกาย กำลังใจในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ สามารถทำงานเพื่อประเทศชาติตลอดไป

และล่าสุด พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีหรือที่เคยเรียกกันว่า บิ๊กเสือ ที่ออกมาซัด พ.ต.ท.ทักษิณ แบบเต็มๆ เมื่อวันที่ 3 เมษายน ให้สัมภาษณ์ที่กระทรวงกลาโหม โดยระบุว่าอดีตนายกฯ กระทำการล่วงพระราชอำนาจ แถมยังสะกิดให้รัฐบาลตรวจสอบการลงทุนที่เกาะเคย์แมนอีกด้วย นับว่าเป็นองคมนตรีท่านแรกที่ตอบโต้กลับรุนแรงที่สุด

ผมเป็นทหารอาชีพ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องปกป้อง ประเทศไทยอยู่รอดมาได้เพราะพระมหากษัตริย์ทรงปรีชาสามารถตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม สถานการณ์การเมืองที่เป็นแบบนี้เพราะเราไม่ได้สร้างคน สร้างแต่วัตถุ ดังนั้นเราต้องสร้างคน เราต้องสร้างคนตั้งแต่เด็ก อย่าเน้นวัตถุ ทุกวันนี้พระแก้วมรกต เยาวชนยังไม่รู้ อีกหน่อยจะเหมือนเขาพระวิหาร ใครเอาไปก็ไม่มีความหวงแหน เพราะไม่ได้รับรู้ความสำคัญของพระแก้วมรกต

@ เป็นห่วงการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ไม่อยากฝากอะไร เพราะผมเป็นองคมนตรี แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณล่วงล้ำพระราชอำนาจอย่างไร การทำบุญในวัดพระแก้วทำได้หรือไม่ เราเป็นคนไทยเรากราบพระแก้วมรกตได้ แต่ทำบุญในวัดพระแก้วไม่ได้ ทำไม่ถูก และเมื่อพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และโทรศัพท์มาพูดออกผ่านทีวี ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โทรศัพท์มากระซิบข้างหูก็จะกลับมา ท่านเป็นเพื่อนเล่นของเขาหรือ

@ การกระทำดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงใช่หรือไม่

ใช่ สิ่งนี้ทำไมไม่มีใครเอาเรื่อง ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รับราชการเป็นถึงนายกรัฐมนตรีทำอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งนี้ ยังมีกรณีอื่น เช่น เคยได้ยินเกาะเคย์แมนมั้ย นายราล์ฟ แอล. บอยซ์ จูเนียร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยมาพบกับผม และประโยคแรกที่ถามคือนายกรัฐมนตรีของไทย (พ.ต.ท.ทักษิณ) ไปยุ่งอะไรกับเกาะเคย์แมน ผมพอทราบมาบ้าง จึงถามกลับไปว่าเกาะนี้เป็นเกาะอะไร นายราล์ฟกล่าวว่า เป็นเกาะที่ฟอกเงินไม่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น และมีนายกรัฐมนตรีของชาติอื่นด้วย โดยมีนายกรัฐมนตรีของอิตาลีเป็นเจ้าของบ่อนกาสิโน เมื่อเขาสืบรู้ก็ต้องลาออก ดังนั้นเมื่อนายราล์ฟรู้ ทำไมคนอเมริกันส่วนใหญ่ ทำไมจะไม่รู้ สื่อต้องไปตรวจสอบดูว่าเกาะเคย์แมนเป็นอย่างไร เขาเอาเงินไปฝากไว้ทำไม ลองคิดดูทำงานมาแค่ 5-6 ปีมีเงินฝากถึง 1 แสนล้านได้อย่างไร

@ หน่วยงานของรัฐย่อหย่อนในการดำเนินการเรื่องนี้หรือไม่

ลองคิดเอาเอง

@ รัฐบาลควรจะดำเนินการอย่างไร

เรื่องนี้จะต้องนำมาแฉให้ประชาชนรับรู้ให้ได้ สืบมาว่ามันคืออะไร และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ การบอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโทรศัพท์มากระซิบข้างหู

@ การต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการจ้องล้มสถาบันกษัตริย ์หรือไม่

แน่นอน ทำไมคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ไปดำเนินการ ซึ่งการทำงานรัฐบาลในการดำเนินการเรื่องนี้ช้าไป การพูดว่ามากระซิบข้างๆ หูเป็นเพื่อนเล่นเขาหรือ พูดแบบนี้ได้อย่างไร

@ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีความเป็นห่วงกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร

ก็เรื่องคนที่จะต้องสร้างให้คนรักหวง และห่วงแผ่นดิน ปัญญาชนต้องคิดตรอง และไปเชื่อเขาได้อย่างไร ผมเป็นทหารมาชั่วชีวิตใช้ไปรบที่ไหนก็ไป แต่เคยไปร่วมงานศพอยู่หน้าเชิงตะกอน และก็ยืนปลง คนเรามีแค่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่างเอาไปไม่ได้ กระดูกก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะโลภโมโทสันกันไปทำไม

@ ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นเพราะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวใช่หรือไม่

ไม่อยากพูด แต่สื่อลองไปคิดดูเอาเอง

@ เสียงขององคมนตรีที่มี 18 เสียง จะสามารถสู้เสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงได้หรือไม่

ต้องจี้ให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณาว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook