หน่วยซีลรื้อถอนแล้ว "บ้านลอยน้ำ" ย้ายขึ้นบกไปเก็บโรงพัก 2 ผัวเมียยังล่องหน

หน่วยซีลรื้อถอนแล้ว "บ้านลอยน้ำ" ย้ายขึ้นบกไปเก็บโรงพัก 2 ผัวเมียยังล่องหน

หน่วยซีลรื้อถอนแล้ว "บ้านลอยน้ำ" ย้ายขึ้นบกไปเก็บโรงพัก 2 ผัวเมียยังล่องหน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เช้าวันนี้ (22 เม.ย.62 ) บริเวณหลักเทียบเรือ ทัพเรือภาคที่ 3 ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ศรชล. ภาค 3 ) ภายใต้การสั่งการของพล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผู้อำนวยการ ศรชล.ภาค 3 ปฏิบัติการรื้อถอนและเคลื่อนย้ายวัตถุลอยน้ำ หรือ บ้านลอยน้ำ กลางทะเลภูเก็ต ตามแนวทางของกลุ่ม Seasteading ซึ่งมีความผิดฐานกระทำการใดๆ เพื่อให้ประเทศชาติหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของประเทศตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 กลับเข้าฝั่ง หลังจากทัพเรือภาคที่ 3 และ ศรชล. ภาค 3 ได้เข้าไปสำรวจ 2 ครั้งและพบว่า มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หากปล่อยไว้อาจจะเกิดปัญหาตามมา จึงได้ใช้อำนาจกฎหมาย ศรชล. ในการดำเนินการ

>> กองทัพเรือเตรียมชำแหละ "บ้านลอยน้ำ" ไม่สนขู่ฟ้องศาลโลก ชี้โทษสูงสุดถึงประหาร

พลเรือตรี วิธนรัชต์ คชเสนี รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองเรือปฏิบัติการ และเป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติการรื้อถอนและเคลื่อนย้ายวัตถุลอยน้ำ กล่าวว่า จากกรณีที่ แชด-นาเดีย ได้ร่วมกันดำเนินการให้มีการจัดสร้างสิ่งปลูกสร้างแบบลอยน้ำได้ เป็นที่พักอาศัยตามแนวทาง Seasteading และได้มีการนำไปติดตั้งนอกชายฝั่งทะเลจังหวัดภูเก็ต ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี พ.ศ. 2525 ระบุไว้ว่า เขตเศรษฐกิจจำเพาะถือว่าอยู่ในเขตอำนาจและสิทธิอธิปไตยของไทย ประกอบการมีการประกาศผ่านสื่อออนไลน์ว่า เป็นรัฐอิสระไม่อยู่ในอำนาจศาลหรือกฎหมายของรัฐใด รวมทั้งยังได้มีการเชิญชวนให้ผู้สนใจมาร่วมกันจัดตั้งก่อที่พักอาศัยในลักษณะเช่นนี้เป็นอาณานิคมปกครองตนเอง ทางทัพเรือภาคที่ 3 มีหน้าที่ภารกิจความรับผิดชอบในการรักษาเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรังและสตูล รวมทั้งพื้นที่ในทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะในทะเล ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำผิดทำให้เอกราชของประเทศไทยบางส่วนเสื่อมเสียลง จึงได้เข้าแจ้งความไว้กับ สภ.วิชิต 

ปฏิบัติการเคลื่อนย้ายวัตถุลอยน้ำนั้น จะมีเจ้าหน้าที่กองโรงงาน ฐานทัพเรือพังงา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างมาตั้งแต่ต้น มาให้คำแนะนำร่วมกับชุดประดาน้ำ ทัพเรือพังงา และชุดปฎิบัติการพิเศษ ทัพเรือภาคที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ หรือ หน่วยซีล และทำการแยกชิ้นส่วนวัตถุออกจากกันระหว่างตัวที่พักอาศัยซึ่งเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมกว้างประมาณ 6 เมตร แยกจากตัวเสาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร เมื่อแยกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรือหลวงมันใน ซึ่งเป็นเรือระบายพลขนาดใหญ่ จะทำหน้าที่ในการบรรทุกวัตถุลอยน้ำกลับเข้าฝั่ง และ เรือหลวงริ้น ซึ่งเป็นเรือลากจูงขนาดกลาง จะทำหน้าที่ในการลากจูงส่วนที่เป็นเดือยตัวฐานที่ตั้งของวัตถุลอยน้ำกลับเข้าฝั่ง

และในส่วนของ เรือหลวงศรีราชา จะทำหน้าที่เป็นเรือบัญชาการควบคุมการปฏิบัติการเคลื่อนย้ายทั้งหมด คาดว่าการปฏิบัติการครั้งนี้จะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณครึ่งวัน โดยในการปฏิบัติการจะให้ความสำคัญและคำนึงถึงความปลอดภัยของกำลังพลอย่างสูงสุด  เมื่อทำการลากจูงและเคลื่อนย้ายวัตถุลอยน้ำเข้าสู่ฝั่งเรียบร้อย ได้มีการประสานงานกับสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต เบื้องต้นกำหนดเก็บรักษาวัตถุพยานไว้บริเวณท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ขณะเดียวกันได้มีการเตรียมถังลอยและถังพยุง ไว้กรณีเกิดการขัดข้องหรือต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยก่อนการรื้อถอนและเคลื่อนย้ายจะมีการทำบันทึกรายการ สิ่งของต่างๆ ที่ตรวจพบภายในบ้านลอยน้ำ เพื่อให้ผู้ที่จะมาแสดงตัวเป็นเจ้าของมาตรวจสอบ

ด้านนายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เมื่อวัตถุพยานอยู่ในความดูแลของสถานีตำรวจภูธรวิชิต พนักงานสอบสวนจะเร่งเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เอกสารทั้งหมด คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์ จะสามารถส่งเอกสารหลักฐานให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

>> กองทัพเรือออกโรงยัน ไม่ได้ล่าเอาชีวิตผัวเมีย "บ้านลอยน้ำ" กลางทะเลภูเก็ต

>> แชด-นาเดีย 2 ผัวเมียบ้านลอยน้ำ วอนช่วยเป็นผู้ลี้ภัย อ้างกำลังหนีทหารไทยตามล่า

>> กองทัพเรือดับฝัน 2 ผัวเมียสร้างบ้านลอยน้ำ หวังตั้งเขตปกครองตัวเองในทะเลสากล

>> กองทัพเรือแจ้งความ "ผัวเมีย" สร้างบ้านลอยน้ำ เข้าข่ายผิดหลายกระทง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook