ถนอมโลก
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ที่จะมีการลดหรือจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสหรัฐไปสู่การใช้พลังงานสะอาด
ซึ่งฝ่ายสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้บอกว่า จะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้อีกมหาศาล และทำให้สหรัฐสามารถเชิดหน้าได้อย่างสง่าผ่าเผย ในฐานะหนึ่งในประเทศผู้นำในความพยายามแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ระดับโลกในเรื่องนี้ในเดือน ธ.ค.
ถือเป็นชัยชนะของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และฝ่ายรัฐบาลซึ่งก็คือพรรคเดโมแครต ที่พยายามผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ แม้จะยังเหลือด่านสำคัญที่วุฒิสภา แต่เชื่อว่าคงผ่านได้ไม่ยากนัก
โอบามาเปิดทำเนียบขาวแถลงข่าวแสดงความชื่นชม บอกว่าผลโหวตในสภาล่างถือเป็น ชัยชนะของอนาคตต่ออดีต เป็นผลพวงจากความต้องการของชาวอเมริกัน ในการละทิ้ง นโยบายและการเมืองที่ล้มเหลว ในอดีต
หากผ่านด่านเป็นกฎหมายออกบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ใช้ชื่อว่า American Clean Energy and Security Act เป้าหมายหลักอยู่ที่การลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกลง 17% จากระดับของปี 2548 ให้ได้ภายในปี 2563 หรือภายใน 11 ปีข้างหน้า และลดให้ได้ 85% ภายในปี 2593
อีก 2 เป้าหมายสำคัญคือ สร้างงาน สีเขียว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ เศรษฐกิจสหรัฐเลิกพึ่งพาการสั่งนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
ช่วงระหว่างการอภิปรายในสภาล่าง ทั้งฝ่ายเดโมแครตและรีพับลิกัน ต่างงัดหลักฐานขึ้นมาประกอบการอภิปราย ตอบโต้กันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะประเด็น การสร้างงาน ที่จะเป็นผลพวงจากร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งฝ่ายเดโมแครตยืนยันว่า จะช่วยให้คนมีงานทำเพิ่มอีกเยอะ ซึ่งเท่ากับจะส่งผลดีโดยตรง ต่อเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังย่ำแย่
แต่นายจอห์น โบห์เนอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาล่างของพรรครีพับลิกัน บอก ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็น กฎหมายฆ่างาน ที่เลวร้ายสุด นับตั้งแต่มีการยื่นเสนอต่อสภาล่าง
ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ราคาพลังงานพุ่งกระฉูด แต่มองต่างมุมตรงผลกระทบต่อผู้บริโภค
เมื่อมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งคงอีกนานหลายเดือน การปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งหมดในประเทศจะถูกจำกัด และภายในปี 2563 กระแสไฟฟ้าที่ใช้ 15% จะต้องมาจากแหล่งพลังงานทดแทน หรือพลังงานที่ไม่มีวันหมด เช่น พลัง งานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้ภิภพ และชีวมวล
และต้องแสดงให้เห็นว่า สามารถประหยัดพลังงานรายปีได้อย่างน้อย 5% จากมาตรการต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
ก่อนหน้านี้กลุ่มสหภาพยุโรปสมาชิก 27 ประเทศ ประกาศแผนนโยบายด้านนี้นำร่องไปก่อนแล้ว แต่เป็นแค่ เรียกร้อง ไม่ใช่กฎหมายบังคับ 20% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมด ควรมาจากแหล่งพลังงานทดแทนภายในปี 2563
หากกฎหมายผ่านด่านวุฒิสภา และบังคับใช้ทันก่อนถึงเดือน ธ.ค. เชื่อว่าในที่ประชุมใหญ่โลกร้อนครั้งใหม่ สหรัฐจะกลายเป็นพระเอกของงาน และเป็นแรงกดดันให้อีกหลายประเทศคล้อยตาม
โดยเฉพาะหลายประเทศยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรม ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย บราซิล เม็กซิโก เป็นต้น.
เลนซ์ซูม