นายกฯหนุนพ่อค้าอัญมณี

นายกฯหนุนพ่อค้าอัญมณี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ลดภาษีเหลือร้อยละ 1

ในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกซบเซา หลายอุตสาหกรรมส่งออกได้รับผลกระทบ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ด้วยเหตุนี้ สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ โดย นายวิชัย อัศรัสกร นายกสมาคมฯ จัดปาฐกถาพิเศษ รัฐบาลกับการนำประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เพื่อหารือแนวทางระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการช่วยส่งเสริมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อดังกล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ มีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทยตลอดมา เพราะมีประชากรไทยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในอุตสาหกรรมนี้จำนวนมากเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ผ่านมาไทยมีส่วนแบ่งตลาดโลกอยู่ที่ร้อยละ 2 มีประชาชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 1.1 ล้านคน โดยแรงงานร้อยละ 25 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่เหลืออยู่ในจังหวัดต่าง ๆ การมุ่งมั่นพัฒนาในอุตสาหกรรมนี้จึงต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มากขึ้น ช่างฝีมือไทยมีศักยภาพแะเป็นที่ยอมรับ เราสามารถเผาพลอย ออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับได้ทั้งแบบสากล และแบบที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างงดงาม

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การตั้งเป้าหมายให้ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ไทยจะต้องมีฐานการผลิตที่เข้มแข็ง สร้างแบรนด์ มีความรู้ คิดค้นเทคโนโลยีหานวัตกรรมใหม่ ๆ อันจะนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอย่างแท้จริง แต่จะให้ทุกอย่างดำเนินไปได้นั้นต้องมีการประสานงานในทุกภาคส่วน ส่วนแรก กลไกภาครัฐ ต้องมีการปรับกฎระเบียบ โครงสร้างภาษีให้เอื้อต่อธุรกิจมากขึ้น รักษาตลาดการค้าปัจจุบันไว้ และหากลุ่มทุนใหม่ ๆ ส่วนที่สอง แรงงานไทย ต้องรักษาองค์ความรู้นี้ไว้ และพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้น สร้างทรัพยากรบุคคลใหม่ ๆ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการควรจัดหลักสูตรที่เหมาะสม พัฒนาการผลิต พัฒนาฝีมือแรงงาน สร้างนักออกแบบให้ทันสมัย

ส่วนที่สาม การตลาด แม้ว่าบางตลาดเริ่มอิ่มตัวแต่ต้องรักษาส่วนแบ่งไว้ให้ได้ และรุกเข้าหาตลาดใหม่ ๆ หาช่องทางกระจายสินค้า ลดความเสี่ยงในการพึ่งตลาดส่งออกเดียว แต่ควรหากลุ่มตลาดใหม่ ๆ พัฒนารูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด แทนการผลิตสินค้าออกมาแล้วค่อยหาตลาดภายหลัง ซึ่งทำให้ได้สินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และควรเร่งสร้างเอกลักษณ์อย่างพูดถึงทองคำนึกถึงอิตาลี ไข่มุกต้องญี่ปุ่น อยากให้ถ้าพูดถึงพลอยต้องเป็นประเทศไทย

ส่วนสุดท้ายคือ วัตถุดิบ ทุกวันนี้ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ แม้ว่ากฎระเบียบมีการงดเว้นภาษี แต่ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการรายย่อยต้องชำระอีก รัฐบาลจึงอยากสนับสนุนเพื่อให้ธุรกิจเกิดการขับเคลื่อน ทั้งนี้มีการหารือแนวทางแล้ว และได้ข้อสรุปตรงที่ให้ผู้ประกอบการรายย่อยจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มวัตถุดิบนำเข้าแบบเหมาจ่าย หัก ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1 ซึ่งกรมสรรพากรจะนำเรื่องเข้าสู่กระทรวง จากนั้นนำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เชื่อว่าวิธีนี้จะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ เมื่อผนวกกับความมีฝีมือของช่างไทยและการกระตุ้นนักท่องเที่ยว น่าจะสามารถผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกได้ นายกรัฐมนตรีกล่าว.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook