รัฐมนตรีผู้ถูกหมายเรียก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายกษิตต้องไปพบเจ้าหน้าที่ตามหมายเรียกและตอบข้อถามเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ว่าทำได้ ทั้งให้ตำรวจและอัยการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ส่วนจะอยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะตัดสินเองไม่ได้ ต้องรอคำสั่งฟ้องหรือกระบวนการทางกฎหมาย โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสม ขณะที่สมาชิกคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์บางคนมีความเห็นว่า การเรียกร้องให้นายกษิตลาออก เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมเพราะได้รับเพียงหมายเรียก บางเสียงเห็นว่าการที่ตำรวจตั้งข้อหารุนแรงเกินไป
การที่นายกษิตจะพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ รัฐธรรม นูญวางหลักเกี่ยวกับความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวว่าเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท (4) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจตามมาตรา 158 หรือมาตรา 159 (5) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 174 (6) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 183 (7) กระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 267 มาตรา 268 หรือมาตรา 269 (8) วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง การถูกออกหมายเรียก จึงไม่ใช่เหตุที่รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งได้
แต่รัฐบาลชุดนี้ จะยึดบรรทัดฐานทางกฎหมาย ประการเดียวไม่ได้ เพราะในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก นายกรัฐมนตรี ได้วางแนวทางการทำงานร่วมกัน 9 ข้อ และข้อที่จะปรับเข้ากับกรณีนาย กษิต คือข้อ 9 ที่วางหลักว่า รัฐมนตรี ไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่นในแง่ของการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมือง จะต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย ดังนี้ เชื่อว่าด้วยเงื่อนไข ข้อเท็จจริง และแนวทางที่วางไว้ ย่อมทำให้ นายกษิต และนายกรัฐมนตรี มีบทสรุปอยู่แล้วว่าจะเลือกตัดสินใจอย่างไร.