ลบครหาสองมาตรฐาน
ไล่ตั้งแต่ เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า หรือเวลาเจอปัญหารุมเร้าหลายเรื่อง พอมีนักข่าวไปรุกไล่ขอความชัดเจนก็จะได้รับคำตอบที่สะท้อนให้เห็นถึงความมีอารมณ์ขันว่า โน พร็อบเบลม (ไม่มีปัญหา)
แต่ที่หลายคนชอบหยิบยกมาอ้าง และนำมาขยายจนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายครั้งหลายหนน่าจะเป็นประโยคนี้นะครับ ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด หลังพูดคำพูดเป็นนายเรา และถ้าหากแปลความหมายของคำพูดอดีตนายกฯ ไปเทียบเคียงพฤติกรรมของใครบางคนในขณะนี้ ดูเหมือน นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กำลังจะต้องเผชิญบททดสอบครั้งสำคัญในชีวิต หลังจากก้าวเข้ามาทำงานการเมือง
เพราะมีคำพูดที่ท่านกล่าวไว้ในช่วงก่อนหน้าที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหา การก่อการร้าย มาดูซิ รมว.การต่างประเทศ พูดไว้ว่าอย่างไร
หากผมเป็น 1 ใน 21 แกนนำพันธมิตรฯ ที่จะถูก ออกหมายจับ ก็พร้อมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีทันที เพราะต้องให้ความเคารพกับกระบวนการยุติธรรม และหากผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้วก็จะไปต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายในวงการการเมืองบนถนนต่อไป เป็นคำให้สัมภาษณ์ของนายกษิตซึ่งปรากฏเป็นข่าวและถูกตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 52
ถ้าตีความตามตัวอักษรที่ท่านพูดไว้ การเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นไปตามหมายเรียก ไม่ใช่หมายจับ เพราะก่อนหน้านี้ทางพนักงานสอบสวนก็ออกหมายเรียกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกตั้งหลายข้อหาช่วงเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
โดยหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดี นอกจากพฤติกรรมของแกนนำเสื้อเหลืองในช่วงบุกยึดสนามบินฯ ยังถอดเทปคำพูดของพันธมิตรฯ จาก การถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินคดีด้วย
ในแง่ของการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมยังสามารถโต้แย้งได้ทั้งในชั้นของพนักงานสอบสวน อัยการ และศาลยุติธรรม ไม่ได้หมายความว่าผู้ ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจะมีความผิดทันที
แต่ในเมื่อนายกษิต ในฐานะ รมว.การต่างประเทศ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญ ในการประชุม รมต.การต่างประเทศอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย ประมาณกลางเดือน ก.ค. การมีข้อหาผู้ก่อการร้ายติดตัวอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าในแง่การยอมรับหรือการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนของประเทศท่านจะทำได้อย่างสมเกียรติหรือไม่
ผมว่าวันนี้เพื่อความสง่างาม และไม่ให้คำพูดที่ รมว.การต่างประเทศ เคยกล่าวไว้ย้อนกลับมาทำลายตนเองและรัฐบาล รวมถึงยังช่วยให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ต้องหนักใจกับการตอบคำถามของสื่อมวลชน หรือการกดดันของพรรคฝ่ายค้าน ดีที่สุดคือ นายกษิตควรตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ เพราะถ้าหากยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปก็จะถูกวิจารณ์ว่ารัฐบาลเข้าไปแทรกแซงและกดดันการทำงานของพนักงานสอบสวน
แต่ข้อสำคัญคือ ข้อกล่าวหา ก่อการร้าย ของพันธมิตรฯ จะช่วยลดคำครหาเรื่องผู้มีอำนาจใช้ สองมาตรฐาน ในการจัดการกับคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
ต่อจากนี้ไปก็ต้องจับตาดูคดีความต่าง ๆ ของ แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดง ตำรวจจะเร่งรัดและเอาจริงเอาจังแค่ไหนโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบัน.
เขื่อนขันธ์