หวัดใหญ่ 09 คร่าชีวิตคนไทยแล้ว 9 ราย แพทย์พบอาการหนักอีก 2 เด็ก-หญิงตั้งครรภ์
นายมานิตกล่าวว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเสียชีวิต เพราะมีโรคประจำตัว จึงมีโอกาสป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้มากกว่าคนปกติ เพราะเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีโอกาสที่คนไข้จะช็อคและเสียชีวิตจากอาการไตวายได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกแม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงอยู่แล้ว เช่น มีน้ำหนักตัวมากเกินกว่าปกติ มีอาการของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และล่าสุดคือ โรคไตวาย เมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลงและเสียชีวิตได้ ไม่ใช่เสียชีวิตเพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างเดียว
ส่วนสถานการณ์ผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ขณะนี้ สธ.ได้รับรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 156 ราย เป็นนักเรียน 128 ราย หรือร้อยละ 82 ที่เหลือ 28 รายติดเชื้อในพื้นที่ รวมแล้วมีผู้ป่วยยืนยันสะสมทั้งหมด 2,428 ราย อาการหายดีแล้ว 2,381 ราย ยังนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนจำนวน 38 ราย ล่าสุดเสียชีวิตจำนวน 9 ราย รมช.สาธารณสุข กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เด็กหญิงอายุ 8 ปีเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ทำไมจึงเพิ่งเปิดเผยผลดังกล่าว นายมานิตกล่าวว่า ต้องเข้าใจว่า ผู้ป่วยดังกล่าวอยู่ในกลุ่มเด็กนักเรียนที่มีการเก็บตัวอย่างเชื้อ เมื่อตรวจพบเป็นกลุ่ม กว่าผลแล็บจะออกจึงล่าช้าได้ ไม่ใช่การปิดบังข้อมูลแต่อย่างใด นอกจากนี้ ล่าสุดตนได้ขอความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการจัดกลุ่มโรงงานที่มีคนงานทำงานในลักษณะเสี่ยงต่างๆ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ คนงานที่ทำงานใกล้ชิดกันมาก คนงานที่ทำงานใกล้ชิดกันปานกลาง และคนงานที่ทำงานใกล้ชิดกันน้อยที่สุด ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้ไปรวบรวมจำนวนตัวเลข เพื่อประสานให้ความรู้ในแต่ละกลุ่มต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกเอกสารข่าวระบุรายละเอียดผู้เสียชีวิตรายที่ 8 และ 9 เพิ่มเติม รายที่ 8 เป็นชายอายุ 58 ปี เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2552 มีอาการไข้ ไอ อ่อนเพลีย มีน้ำมูก มีประวัติไตวาย โรคความดันโลหิตสูง และโรคเก๊าต์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา แพทย์รับตัวไว้สังเกตอาการที่ห้องฉุกเฉิน วินิจฉัยเบื้องต้นว่า ปอดอักเสบ ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม ผู้ป่วยหายใจดีขึ้น แพทย์จึงอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน ต่อมาผู้ป่วยกลับมาพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินในวันที่ 5 กรกฎาคม ด้วยอาการหายใจหอบ กระสับกระส่ายมาก แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ ต่อมาเสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉินในวันเดียวกัน และได้เก็บตัวอย่างเสมหะในลำคอส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจในวันที่ 6 กรกฎาคม 2552 ยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
สำหรับผู้เสียชีวิตรายที่ 9 เป็นเด็กหญิง อายุ 8 ปี เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบุรี หยุดเรียนไป 3 ปี มีประวัติเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และได้รับการรักษาเคมีบำบัดในโรงพยาบาลใน กทม.เป็นประจำ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2552 เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ เพชรบุรี ด้วยอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย มีน้ำมูก หลังรักษา 2 วันแรกอาการดีขึ้น ต่อมาอาการทรุดลง แพทย์ได้รักษาตามอาการอย่างเต็มที่ และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2552 ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในวันที่ 5 กรกฎาคม 2552 ยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ ผู้เสียชีวิตรายนี้จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วไปควบคุมโรคที่บ้าน เฝ้าระวังผู้สัมผัสโรคร่วมบ้าน 4 คน ติดตามอาการเป็นเวลา 7 วัน จนถึงวันนี้ทุกคนยังไม่มีใครป่วย
นพ.เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 2 ราย อยู่ใน กทม.ทั้งหมด รายแรกเป็นเด็กชายอายุ 7 ปี พักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี รักษาตัวมา 1 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ล่าสุดเชื้อไวรัสขึ้นสมองทำให้อาการทรุดลง เด็กมีอาการชักเกร็งเป็นระยะ ทำให้ไม่รู้สึกตัว แต่เอ็กซเรย์ที่ปอดกลับไม่พบว่าปอดบวม นับว่าเป็นรายแรกของไทยที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 ขึ้นสมอง ทั้งนี้อาการเชื้อไวรัสขึ้นสมองสามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติของโรค ไม่เกี่ยวกับการรักษาที่ล่าช้าหรือรักษาที่ผิดพลาดแต่อย่างใด ส่วนรายที่ 2 เป็นหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ มารดาป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียมีภาวะซีดมาก ต้องให้โลหิต แต่จากอาการล่าสุดพบว่าเด็กในท้องยังอยู่ในภาวะปลอดภัย
ด้าน รศ.(พิเศษ)นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 11 กรมการแพทย์ กล่าวว่า เชื้อไวรัสขึ้นสมองมีโอกาสเกิดขึ้นทั้งไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและไข้หวัดใหญ่ 2009 ถือเป็นธรรมชาติของโรค แต่จะเกิดขึ้นน้อยมาก ทั่วโลกพบน้อยกว่าร้อยละ 1 ส่วนใหญ่พบมากในประเทศญี่ปุ่นและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และเมื่อเชื้อขึ้นสมองจะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตสูง ขณะนี้นักวิชาการทั่วโลกยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เชื้อขึ้นสมอง แต่สันนิษฐานว่าอุบัติการณ์ดังกล่าวน่าจะพบได้ในภูมิภาคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ไทยพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมีภาวะเชื้อขึ้นสมองเช่นกัน แต่พบน้อยมากจนไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขได้ สำหรับเด็กอายุ 7 ปีที่มีเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ขึ้นสมองนั้น ขณะนี้ได้ขอข้อมูลแนวทางการรักษาไปยังผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐอเมริกาแล้ว เพราะสหรัฐได้รักษาผู้ป่วยเด็กที่มีเชื้อขึ้นสมองไปแล้ว 4 ราย แนวทางการรักษาเบื้องต้นคือ การให้ยาโอเซลทามิเวียร์เพิ่มขึ้นจากเดิม 5 วันเพิ่มเป็น 10 วัน
ทางด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีผู้ปกครองนักเรียนจำนวนมากสอบถามถึงกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะประกาศให้โรงเรียนทั่วประเทศหยุดเรียนวันที่ 9-10 กรกฎาคมนี้ และไปเปิดเรียนในวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคมเพื่อยับยั้งการระบาดว่า ยังไม่มีคำสั่งอะไรออกมา และกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้แจ้งเรื่องนี้มาที่กระทรวงศึกษาธิการ แต่การประกาศหยุดเรียนนั้นเป็นดุลพินิจของผู้อำนวยการโรงเรียนแต่ละแห่งอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องดูความเหมาะสม หากผู้ปกครองคนใดสงสัยน่าจะสอบถามโรงเรียนหรืออาจารย์ของบุตรหลานได้โดยตรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีเพียงโรงเรียนสตรีวิทยาได้ประกาศหยุดเรียนยาวโดยจะเปิดสอนในวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม เพื่อทำความสะอาดโรงเรียน