ฝ่าวิกฤต
ล็อกล้อ
จาก 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤต ของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2551 มาถึง 5 มาตรการ 6 เดือน ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา
มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อย ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่เริ่มต้น แต่กลับทำมาต่อเนื่องถึง 2 รัฐบาล และกำลังจะครบ 1 ปี หมดระยะเวลาช่วงลดแลกแจกแถมในเดือนนี้
เวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันนี้กระทรวงการคลังก็กำลังทบทวนข้อดีข้อเสียของมาตรการฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยว่า จะเลิกหรือขยายเวลาต่อไปอีก
โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณา จะขยายเวลาออกไปอีกแค่ 2 เดือนถึงสิ้นปีงบประมาณในเดือนต.ค. หรือขยายออกไปอีก 4 เดือนถึงแค่สิ้นปีนี้ และที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจดำเนินการจะต้องไม่มีผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาลด้วย
นอกจากนั้นยังอาจมีเพียงบางมาตรการที่ได้รับการต่ออายุ
จาก 6 มาตรการที่มี ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ชะลอการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน หรือก๊าซแอลพีจี
งดเก็บค่าน้ำประปาครัวเรือนที่ใช้ไม่เกินกว่า 50 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน งดเก็บค่าไฟสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 80 หน่วยต่อเดือน และเก็บครึ่งราคาถ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน
จัดรถเมล์ ขสมก.ที่เป็นรถโดยสารธรรมดา หรือรถร้อนมาวิ่งบริการฟรี และให้ใช้บริการรถไฟชั้น 3 ฟรี
พอมาเหลือ 5 มาตรการ ก็มีเรื่องการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ถูกตัดออกไป
ส่วนที่เปลี่ยนแปลงก็มีการงดเก็บค่าน้ำประปาก็ปรับเกณฑ์มาอยู่ใช้ไม่เกินกว่า 30 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน และการปรับเกณฑ์การใช้ไฟฟ้าฟรีของครัวเรือน เพิ่มขึ้นเป็น 90 หน่วยต่อเดือน
สำหรับมาตรการช่วยเหลือในเรื่องของบริการรถเมล์ รถไฟฟรี และชะลอการปรับราคาก๊าซแอลพีจียังคงเดิม
ผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังต่อมาตรการช่วยเหลือเหล่านี้ คาดกันว่าน่าจะสรุปออกมาได้ภายในกลางเดือนนี้
รัฐบาลที่แจกเช็ค จัดเรียนฟรี จะตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องนี้จึงน่าสนใจมาก