จับสาวอายุ 27 สังหารชูเกียรติ ภัยลี้ เผยฆ่าชิงทรัพย์ไปใช้หนี้ ตำรวจเชื่อคนร้ายลงมือคนเดียว

จับสาวอายุ 27 สังหารชูเกียรติ ภัยลี้ เผยฆ่าชิงทรัพย์ไปใช้หนี้ ตำรวจเชื่อคนร้ายลงมือคนเดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
สาว27ฆ่าแล้วเผาชูเกียรติ ภัยลี้ สารภาพชิงทรัพย์ไปใช้หนี้บัตรเครดิต-กู้นอกระบบ เผยรู้จักกันมานาน ลงมือขณะเหยื่อหลับ แฉสังหารเพราะไม่ต้องการให้จับได้ จงรักชี้คนร้ายก่อเหตุคนเดียว เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ทรงวุฒิ ถวัลย์กิจดำรงค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) ร่วมกันแถลงผลการจับกุม น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์ หรือ บ๋อม ศิริวงศ์ อายุ 27 ปี อยู่ที่ 167/133 หมู่ 1 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาใช้มีดแทง พล.ต.ต.ชูเกียรติ ภัยลี้ อายุ 69 ปี อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (รอง ผบช.ภ.7) เสียชีวิตแล้วเผาบ้านเพื่ออำพรางคดี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ที่บ้านเลขที่ 47/131 หมู่บ้านกฤษดานคร 10 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พร้อมของกลางที่ยึดได้ 12 รายการ อาทิ มีดพับที่ใช้ก่อเหตุ สร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท 1 เส้น สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท 1 เส้น สร้อยคอทองคำไม่ทราบน้ำหนักอีก 4 เส้น นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเลกซ์เรือนทองฝังเพชร 1 เรือน พระสมเด็จเลี่ยมทอง 2 องค์ และเงินสด 200,000 บาท เป็นต้น

พล.ต.อ.จงรักกล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 1 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ฉลอง และ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ซึ่งหลังเกิดเหตุเพียงสัปดาห์เดียวสามารถจับกุม น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์ ผู้ต้องหาฆ่า พล.ต.ต.ชูเกียรติ ได้ ซึ่งประเด็นสำคัญคือผู้ต้องหาคนลงมือกระทำเพียงคนเดียว เพราะจากการยึดทรัพย์ที่ยึดได้จากผู้ต้องหาเพียงคนเดียว และหลังเกิดเหตุผู้ต้องหาได้ไปตามจุดต่างๆ เมื่อตรวจสอบพยานแวดล้อมแล้วยืนยันว่าผู้ต้องหาทำเพียงคนเดียว และผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าใช้มีดแทงที่คอผู้ตายก่อน เพราะเห็นว่าเป็นจุดที่แทงแล้วถึงแก่ความตายทันที จากนั้นแทงซ้ำไปตามร่างกายหลายแห่งจนเสียชีวิต และเอาทรัพย์สินของผู้ตายไป

จากการสอบสวนพบว่า พล.ต.ต.ชูเกียรติ รู้จักกับ น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์ มาก่อน แล้วนัดไปคุยธุระกันที่บ้าน และ น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์ เห็น พล.ต.ต.ชูเกียรติ ใส่สร้อยคอมีราคาจึงเกิดความโลภอยากจะได้จึงลงมือฆ่าชิงทรัพย์ หลังจากฆ่าแล้วมีเลือดกระจายเต็มห้องจึงใช้ผ้าปูที่นอนมาเช็ดเลือด พร้อมจุดไฟเผาเพื่ออำพรางว่าถูกไฟคลอกตาย แต่ผลการชันสูตรศพไม่มีเขม่าในปอด และถูกแทง แสดงว่าเสียชีวิตก่อน โดย น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์ ลงมือขณะที่ พล.ต.ต.ชูเกียรติ ไม่รู้ตัว และแทงที่คอก่อนพร้อมกดหน้า แต่ พล.ต.ต.ชูเกียรติ ต่อสู้ใช้ปากกัดนิ้วกลางซ้ายของ น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์จนเป็นแผล ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจน พล.ต.อ.จงรักกล่าว และว่าหลักฐานที่ตามจับผู้ต้องหาได้มาจากหลายส่วน บางอย่างเปิดเผยไม่ได้ ส่วนหนึ่งมาจากภาพกล้องวงจรปิด

ด้าน น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์สารภาพว่า ที่ฆ่าเพราะต้องการเอาเงินไปใช้หนี้บัตรเครดิตและหนี้นอกระบบกว่า 200,000 บาท ไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อน ส่วนมีดพกติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา บ้านของผู้ตายตนเพิ่งไปเพียงครั้งเดียวคือวันเกิดเหตุ ส่วนที่รู้รหัสบัตรกดเงินเอทีเอ็ม เพราะอยู่ในสมุดเล่มเล็กที่วางอยู่กับทรัพย์สินทั้งหมดและมีกระเป๋าสตางค์ด้วยจึงเอาไปทั้งหมด

รู้จักกับผู้ตายที่ร้านอาหารเรือนตะวัน ที่ทำงานเก่านานแล้ว ต่อมาได้ทำงานที่ร้านอาหารโคขุน ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ผู้ตายมาหาที่ร้านเป็นลูกค้าประจำ วันเกิดเหตุผู้ตายมารับที่ร้านเรือนตะวัน ไปคุยธุระที่บ้าน เหตุที่ต้องฆ่าเพื่อจะไม่ให้จับตัวได้ และตอนแรกไม่คิดจะเผา แต่เจอไฟแช็กในลิ้นชักจึงเผา น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์สารภาพ

น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์สารภาพอีกว่า ผู้ตายมักบอกว่าเป็นดาบตำรวจแต่ตนเคยได้ยินมาว่าเป็นนายพล และคิดว่าเกษียณอยู่บ้านเฉยๆ ส่วนเหตุที่ไปที่บ้านผู้ตายเพราะต้องการยืมเงิน ก่อนเกิดเหตุอยู่ในบ้านคุยกันปกติเรื่องเงิน คิดว่าผู้ตายคงจะไม่ให้ยืม จากนั้นสั่งข้าวมากินแล้วคุยกัน เมื่อกินข้าวเสร็จเวลาประมาณ 15.00 น. ผู้ตายขึ้นไปบนบ้าน ตนเห็นว่าขึ้นไปนานผิดปกติ จึงตามไปเห็นกำลังหลับอยู่ จึงใช้มีดที่พกมาแทงผู้ตาย ที่ฆ่าเพราะต้องการทรัพย์สินอย่างเดียว ไม่มีเรื่องโกรธเคืองหรือขัดแย้งเรื่องอื่นๆ มาก่อน

จากนั้น พล.ต.อ.จงรัก นำ น.ส.ภรณ์ภัสสรณ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่บ้านหลังเกิดเหตุ มี พล.ต.ต.สกล ภัยลี้ อดีต รอง ผบช.ภ.7 น้อยชาย พล.ต.ต.ชูเกียรติ นำเจ้าหน้าที่เข้าไปทำแผน โดยเริ่มจากจุดที่ผู้ตายและผู้ต้องหานั่งรถมาจอดหน้าบ้าน จากนั้นเป็นจุดที่ผู้ต้องหาก่อเหตุแทงขณะที่ผู้ตายหลับอยู่แต่รู้สึกตัว จึงสู้กันเล็กน้อย จนผู้ตายกลิ้งตกเตียง แล้วถูกผู้ต้องหากระหน่ำแทงซ้ำจนเสียชีวิต จากนั้นเป็นจุดที่ผู้ต้องหาใช้ไฟแช็กที่พบในลิ้นชักโต๊ะของผู้ตายจุดไฟเผาบ้าน แล้วปิดประตูบ้านล็อคด้านในปีนรั้วบ้านออกไป ต่อมาตำรวจ สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี นำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารต่างๆ ที่คนร้ายไปกดเงิน

ด้าน พล.ต.ต.สกลกล่าวว่า ตำรวจต้องการทำงานให้เคลียร์ที่สุดอยู่แล้ว ตนดูว่าถ้าหลักฐานไปถึงใครก็ต้องว่าถึงคนนั้น ถ้าไม่ถึงก็จบ ต้องดูจากพยานหลักฐานไม่ใช่ฟังคำพูดเขาอย่างเดียว ตนในฐานะที่เป็นอดีตตำรวจต้องว่าด้วยหลักฐานไม่ใช่นึกเอา ขณะนี้จากหลักฐานต่างๆ เชื่อว่า 90% ผู้ต้องหาลงมือคนเดียวเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ แต่ข่าวที่ออกไปบางครั้งอาจจะเขียนกันเอง ทางตำรวจอยากเห็นหลักฐานมัดแน่นถึงคนไหนก็ว่าคนนั้น ตอนนี้ของกลางส่วนใหญ่ได้จากเขาทั้งหมด ยังขาดอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 ของผู้ตาย ไม่ทราบว่าหายไปก่อนหรือหลังเกิดเหตุ ปกติจะพกอยู่ในรถ แต่เรื่องส่วนตัวต่างๆ ของพี่ชาย ตนไม่ค่อยยุ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook