ครม.ไฟเขียวต่อ 5 มาตรการถึง31ธ.ค.

ครม.ไฟเขียวต่อ 5 มาตรการถึง31ธ.ค.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ก.ค.)ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาดำเนินการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน ในโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน ทั้งการใช้น้ำ ใช้ไฟ ขึ้นรถเมล์ รถไฟ และชะลอการขึ้นก๊าซแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้ม ออกไปอีก 5 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนก.ค.นี้ ไปเป็นสิ้นเดือนธ.ค. 52 เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยจะเรียกชื่อเป็น 5 มาตรการ 5 เดือน

ทั้งนี้จากการที่รัฐบาลเข้าไปแบกรับภาระแทนประชาชนทั้งการใช้ไฟ-ใช้น้ำฟรี การขึ้นรถเมล์-รถไฟฟรี จะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 11,117 ล้านบาท โดยจะนำเงินจากงบกลาง ของงบประมาณ ปี 53 มาชดเชยภาระทั้งหมด และที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดสรรเงินเพื่อนำไปชดเชยภาระที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งต้องรับภาระใน 6 มาตรการ อีก 452 ล้านบาท

นายวัชระ กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้หารือถึงการปรับลดภาษีน้ำมันดีเซล ที่นำเข้าสมทบในกองทุนอนุรักษ์พลังงาน จากปัจจุบันที่น้ำมันบี 2 ที่จัดเก็บอยู่ 75 สต. ขณะที่น้ำมันดีเซลบี 5 จัดเก็บที่ลิตรละ 25 สต. โดยได้หารือว่าจะลดภาษีของน้ำมันดีเซล บี 2 ที่ลิตรละ 50 สต. แต่ที่ประชุมยังไม่สรุป โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ยุติเรื่องนี้ไว้ก่อน โดยพิจารณาเพียงแค่ 5 มาตรการ ไปก่อน ส่วนเรื่องการลดภาษีน้ำมันขอให้นายกรณ์ ไปหารือกับรมว.พลังงาน ให้ชัดเจนก่อนเสนอให้ครม.พิจารณาต่อไป

นอกจากนี้นายกรณ์ ยังได้เสนอให้ยกเว้นภาษีดอกเบี้ยให้ประชาชนที่มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ที่ปัจจุบันมีมากถึง 7 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลค่าเงินฝากกว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งนายกฯและครม.เห็นว่า กระทรวงการคลังควรตั้งกรอบวงเงินที่ควรได้รับความช่วยเหลือให้ชัดเจน พราะจากบัญชีเงินฝากทั้ง 7 ล้านบัญชี มีบัญชีที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 แสนบาท ประมาณ 90% โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้งก่อนเสนอให้ครม.พิจารณาต่อไป

นายวัชระ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบการขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งสำหรับผู้สูงอายุและรายย่อยเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาก เพราะสามารถจำหน่ายได้มากกว่าที่กำหนดไว้ถึงเท่าตัว คือจาก 15,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท โดยนำวงเงินพันธบัตรที่จะขายในรอบที่สาม มาเปิดขายให้กับผู้สูงอายุก่อน โดยมผู้สูงอายุซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 40,000 ราย เฉลี่ยรายละ 700,000 บาท เนื่องจากได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นนายกรณ์ จึงขออนุมัติครม.ที่จะเพิ่มเติมวงเงินขายพันธบัตรอีก 30,000 ล้านบาท ซึ่งครม.ก็เห็นชอบ

นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้หารือถึงการเปิดขายพันธบัตรไทยเข้มแข็งในวันที่ 15 ก.ค. นี้วงเงิน 15,000 ล้านบาท ที่จะขยายให้กับประชาชนทั่วไป ซึ่งหากไม่เพียงพอจะนำวงเงินของพันธบัตรในส่วนที่เหลือสำหรับขายช่วงที่ 3 อีก5,000 ล้านบาท มาเพิ่มเติมให้การขายรอบที่ 2 นี้แทนด้วย

ที่กระทรวงการคลัง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า สัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังจะนำแนวทางการเพิ่มผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของประชาชนเสนอให้ที่ประชุมครม.รับทราบต่อไป เนื่องจากเห็นว่า พันธบัตรไทยเข้มแข็งได้รับความสนใจมาก เพราะให้ดอกเบี้ยสูง และสะท้อนให้เห็นว่า ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ปัจจุบันต่ำมาก ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจึงต้องการหาแนวทางเพิ่มผลตอบแทนให้ 60 ล้านบัญชีทั่วประเทศได้รับประโยชน์มากขึ้น

ส่วนกรณีที่มีผู้เสนอว่า ปัจจุบันนี้บัญชีที่มีเงินฝากไม่ถึง 20,000 บาทไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้วนั้น เห็นว่าในทางปฏิบัติไม่มีใครรู้ว่าบัญชีนั้น ต้องเสียภาษีหรือไม่ เพราะลูกค้าอาจมีหลายบัญชีก็ได้ ดังนั้นจึงเห็นว่าจะหาแนวทางอื่นที่ให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลตอบแทนอย่างแท้จริง

สำหรับการยืดอายุ 5 มาตรการ 5 เดือนออกไปนั้น จะใช้เงินจากงบกลางปีของปีงบประมาณ 53 ซึ่งอยู่ในวิสัยทัศน์ที่รัฐบาลจะจัดการได้ เนื่องจากเป็นมาตรการที่เข้าถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง โดยเรื่องไฟฟรีนั้นมีประชาชนได้รับประโยชน์ 8.5 ล้านครัวเรือ น้ำฟรีมีประชาชนได้รับประโยชน์ 4 ล้านครัวเรือน รถไฟฟรีมีประชาชนได้รับประโยชน์เดือนละ 2.8 ล้านราย รถเมล์ฟรีมีประชาชนได้รับประโยชน์วันละ 430,000 ราย เป็นต้น

สำหรับการทบทวนภาษีน้ำมันนั้น ขณะนี้เห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มลดลงมาแล้ว แต่ในครม.คุยกันในภาพรวมแล้วว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องลดภาษีน้ำมันลงแต่อย่างใด เพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเก็บเงินเข้ากองทุนไว้สำรองต่อไป เพื่อว่าเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นอีกในอนาคต จะได้นำเงินดังกล่าวมาช่วยเหลือรับภาระให้ประชาชนได้

นายกรณ์ กล่าวว่า การพิจารณาเพิ่มวงเงินพันธบัตรออมทรัพย์นั้น กระทรวงการคลังยังไม่ตัดสินใจว่าจะเพิ่มวงเงินอีกเท่าใด เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการบริหารจัดการ โดยจะรอดูสถานการณ์การจองซื้อพันธบัตรในวันที่ 15 ก.ค.นี้ก่อนว่าเป็นอย่างไร จึงจะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเพิ่มวงเงินหรือไม่ เท่าใด.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook