ชงกฎหมายภาษีที่ดินเข้า ครม. ที่ดินไม่ทำประโยชน์โดนปรับ 2 เท่าทุก 3 ปี

ชงกฎหมายภาษีที่ดินเข้า ครม. ที่ดินไม่ทำประโยชน์โดนปรับ 2 เท่าทุก 3 ปี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง สศค.ได้ยกร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. เสร็จเรียบร้อยแล้วและพร้อมที่จะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนสิงหาคมนี้ ตามนโยบายของนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นขั้นตอนต่อไป หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากสภาภายในปีนี้ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้จริงภายในปี 2554 ตามที่ระบุไว้ในบทเฉพาะกาล ข้อดีจะทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 6 หมื่นล้านบาท

ส่วนการดำเนินการในขณะนี้ทาง สศค.ได้จัดให้มีการเดินสายจัดงานสัมมนาให้ความรู้แก่นักธุรกิจและประชาชนทั่วไปที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ เกี่ยวกับการนำระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่รัฐบาลจะนำมาบังคับใช้ โดยเริ่มจากจังหวัดขอนแก่น, สุราษฎร์ธานีและที่เชียงใหม่ ที่จัดให้มีขึ้นเมื่อวันที่ 13-15 ก.ค.ที่ผ่านมา ครั้งต่อไปก็จะจัดที่ชลบุรี กรุงเทพฯและอุบลราชธานี คล้ายๆ กับการทำประชาพิจารณ์ แต่เราจัดในรูปของงานสัมมนา

นายสมชัยกล่าวต่อไปอีกว่า โครงสร้างของอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่จะมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้จัดเก็บภาษีจากฐานของราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ประเมินโดยกรมธนารักษ์ ซึ่งจะแตกต่างจากภาษีบำรุงท้องที่และภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่เก็บจากฐานของรายได้ในอัตรา 12.5% แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่เก็บเพราะไม่มีรายได้ ดังนั้นเมื่อมีการนำระบบภาษีที่ดินแบบใหม่มาใช้จะทำให้นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่นำที่ดินมาทำประโยชน์เสียภาษีลดลง ส่วนผู้ที่กักตุนที่ดินไว้เก็งกำไรจะเสียภาษีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ปล่อยที่ดินให้รกร้างว่างเปล่าไม่ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจจะมีการปรับอัตราเพิ่มขึ้นไปอีก 2 เท่าตัวทุกๆ 3 ปี ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้มีการนำที่ดินที่กักตุนไว้ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น

โครงสร้างของอัตราภาษีจะแบ่งออกเป็น 3 อัตรา ได้แก่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้งานในเชิงพาณิชย์จะเสียภาษีในอัตราไม่เกิน 0.5% ของมูลค่าทรัพย์สิน, ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสียภาษีอัตราไม่เกิน 0.1% ของมูลค่าทรัพย์สิน และที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม เสียภาษีในอัตราไม่เกิน 0.05% ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่วนที่ดินว่างเปล่าจัดเก็บในอัตรา 0.5% ของมูลค่าสินทรัพย์ ยกเว้นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นศาสนสถาน วัง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ดินของทางราชการ เป็นต้น

รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะทำงานการกระจายรายได้ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยโครงการวิจัยเรื่อง นโยบายและมาตรการการคลัง เพื่อความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ พบว่า การถือครองที่ดินในเขตกรุงเทพฯชั้นในมีการกระจุกตัวมาก โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกใช้ให้เป็นพื้นที่ทางการค้า อาทิ เยาวราช ปทุมวัน

จากการเก็บข้อมูลในปี 2551 กรุงเทพฯมีขนาดพื้นที่สามารถถือครองได้ 927,074 ไร่ 1 งาน 18.6 ตารางวา จำนวนโฉนดที่ดินทั้งหมดในกรุงเทพฯ 1,915,388 แปลง ผู้ที่ถือครองที่ดินในกรุงเทพฯมีจำนวน 1,464,207 ราย โดยผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในกรุงเทพฯ 14,776 ไร่ 1 งาน 39.7 ตารางวา ขณะที่ผู้ถือครองน้อยที่สุดในกรุงเทพฯ คือ 0.1 ตารางวา

ผลการวิจัยพบว่า การกระจายการถือครองที่ดินในเขตบางรัก สัมพันธวงศ์ และปทุมวัน ซึ่งเป็นเขตที่ราคาที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ มีผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในเขตบางรัก ถือครองที่ดิน 643 ไร่ 1 งาน 59 ตารางวา ในเขตสัมพันธวงศ์ 22 ไร่ 2 งาน 35 ตารางวา และในเขตปทุมวันคือ 86 ไร่ 3 งาน 61.9 ตารางวา ทั้งนี้ การถือครองที่ดินเฉพาะประเภทบุคคลธรรมดา ผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในกรุงเทพฯ คือ 2,036 ไร่ 2 งาน 57.3 ตารางวา

ในขณะที่การถือครองที่ดินในต่างจังหวัด เริ่มที่จะมีการกระจุกตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ จ.ชลบุรี หรือ จ.ฉะเชิงเทรา โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งได้ถูกพัฒนาให้เป็นย่านอุตสาหกรรม ซึ่งข้อมูลจากตำบลแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา ระบุสัดส่วนการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินว่าพื้นที่รวมผู้ถือครองจำนวนมากที่สุด 10 อันดับแรกอยู่ที่ 755.06 ไร่ และข้อมูลจากเทศบาลหนึ่งใน จ.ชลบุรี ผู้ถือครองที่ดินเนื้อที่มากที่สุด 19 อันดับแรกอยู่ที่ 2,008.66 ไร่

การวิจัยของเราพบว่าที่ไหนที่พัฒนาเป็นเขตพาณิชย์การกระจุกตัวในการถือครองที่ดินจะมีสูงมาก การขยายตัวของเมืองเร็วมาก ใน 10 ปีที่ผ่านมานี้จะเห็นว่าองค์การบริหารส่วนตำบล กลายเป็นเทศบาล เป็นเขตเมือง การกระจุกตัวที่ดินจึงเกิดขึ้น สอดคล้องกับที่ดินภาคการเกษตร ที่ชาวนาส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่วัยชรา อีก 10 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มว่าการกระจุกตัวของที่ดินจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นที่จะต้องมีภาษีที่ดิน โดยคาดว่าอีกไม่เกิน 12 ปี เราจะเข้าสู่สังคมชราภาพ ผู้เกษียณอายุจะมีตัวเลข 14 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ซึ่งขณะนี้เรามีตัวเลขอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายคนแก่จะสูงมาก รัฐบาลต้องหารายได้มาดูแล เราจะหารายได้ที่ไหนมาใช้จ่ายเชิงสวัสดิการ

อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยนี้ยังพบอีกว่าการกระจายการถือครองที่ดินของครัวเรือนที่ทำการเกษตรในประเทศไทย พ.ศ.2549 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร้อยละ 40 ของครัวเรือนภาคการเกษตรไม่มีที่ดินเลย หรือถือครองที่ดินน้อยกว่า 10 ไร่ และส่วนใหญ่ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เพื่อการผลิตที่แท้จริง แต่เป็นการซื้อที่ดินของนายทุนเพื่อการเก็งกำไร

ดร.ณรงค์ให้ความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ในอนาคตที่จะผ่านการพิจารณาจากสภานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เนื่องจากนักการเมืองในสภาเองก็เป็นผู้สะสมที่ดินรายใหญ่ คุณต้องไม่ลืมว่านักการเมืองในสภาจำนวนหนึ่งมีที่ดินเยอะ หลายร้อยไร่ แล้วคนพวกนี้ก็หาประโยชน์จากเทศบาลตำบล คือการนับหนึ่งของความเป็นเมือง หลายๆ เขตถูกยกขึ้นมาเป็นเทศบาล ตำบล เพราะว่าความหนาแน่นของประชากรมีมากพอ ก็แปลว่าชุมชนการค้าก็เริ่มเกิดขึ้น ที่ดินก็เริ่มแพงขึ้น นักการเมืองก็เริ่มกักตุนแล้ว

ยกตัวอย่างที่ดินก่อนตัดถนนราคาแปลงละ 1 ล้านบาท พอมีถนนผ่านราคาขึ้นเป็น 5 ล้านบาท เจ้าของที่ดินไม่ทำอะไรเลย ดังนั้น 4 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นควรจะแบ่งกลับไปให้รัฐบ้าง เพราะการลงทุนทำถนนนี้มันเป็นการเอาภาษีชาวบ้านไปทำ เพราะฉะนั้น 4 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นโดยเจ้าของที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ควรจะแบ่งกลับไปให้สังคม ดร.ณรงค์กล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook