มาร์คหวั่นเสียเงินเลือกตั้งขวางส.ส.ออก ปชป.ท้าหน.เพื่อไทยแข่งน้องสุเทพ พท.ชัดสุเทพสร้างภาพ

มาร์คหวั่นเสียเงินเลือกตั้งขวางส.ส.ออก ปชป.ท้าหน.เพื่อไทยแข่งน้องสุเทพ พท.ชัดสุเทพสร้างภาพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ปชป.เรียงหน้าโต้ไม่มีสัญญาณพิเศษให้หลุดส.ส.ติดปมหุ้นชั้นศาล รธน. ลั่นพรรคไม่มีนโยบายแทรกแซงองค์กรอิสระ ท้า หน.เพื่อไทย ลงชิงส.ส.สุราษฎร์ฯ มาร์คลั่นไม่หนุนส.ส.-ส.ว.ออก ชี้ควรรอศาลวินิจฉัยก่อนเพื่อเป็นบรรทัดฐาน ย้ำกฎเหล็ก 9 ข้อใช้เฉพาะฝ่ายบริหาร พท.ชัดสุเทพแค่สร้างภาพมีสปิริต หวังผ่องถ่ายตำแหน่งกันในครอบครัว

มาร์คย้ำไม่หนุนส.ส.-ส.ว.ออก

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สุราษฎร์ธานี หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้ว่าขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. กรณีถือครองหุ้นในบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัมปทานของรัฐว่า เข้าใจว่ามี ส.ส.และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประมาณ 60-70 คน ที่ถือหุ้น เมื่อ กกต.ชี้ว่าใครที่ถือหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน หรือเป็นคู่สัญญากับรัฐขาดคุณสมบัติ คนเหล่านี้ก็มีความเห็นไม่ตรง โดยรู้สึกว่าเขาถือหุ้นเล็กน้อย ไม่เพียงพอต่อการเข้าไปบริหารจัดการ หรือแทรกแซงอะไร ถือเป็นการมองคนละมุมกัน ซึ่งผู้ที่ต้องชี้ขาดคือศาลรัฐธรรมนูญ

ผมไม่สนับสนุนให้ ส.ส.และ ส.ว.ลาออก เพราะต้องเลือกตั้ง แล้วยังไม่เป็นข้อยุติ ที่สำคัญคือตำแหน่ง ส.ส.และ ส.ว.ไม่ใช่ตำแหน่งที่อยู่ในฐานะของการบริหารราชการแผ่นดิน แต่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ผมเลยคิดว่าน่าจะรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานเสียก่อน นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรณีการลาออกของนายสุเทพได้ให้เหตุผล 2 ข้อคือ 1.รับไม่ได้กับการตัดสินของ กกต. และ 2.ถ้านายสุเทพยังเป็น ส.ส.อยู่ต้องไปต่อสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นภาระที่ทำให้กระทบกับการทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง จึงขอสละสิทธิ ไม่ขอต่อสู้ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ และพร้อมจะลาออกจาก ส.ส.ไปเลย

สุเทพ ไม่ทิ้งรองนายกฯ-ขายหุ้นก่อน

ถามว่า แล้วทำไมไม่ลาออกจากรองนายกรัฐมนตรี ต้องบอกว่าพอมีปัญหาเรื่องการมองข้อกฎหมายไม่ตรงกัน ท่านก็ขายหุ้นไปหมดแล้วตั้งแต่ก่อนเข้ามาเป็นรองนายกฯ ไม่เคยถือหุ้นในฐานะที่เป็นรองนายกฯ และจะปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ต่อไป ทำให้มีการเลือกตั้งซ่อม ถ้าถามผมจริงๆ ท่านปรารภเรื่องนี้มานานแล้ว และผมบอกว่าโดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการที่ให้ท่านลาออก แต่เป็นเอกสิทธิ์ของท่าน นายอภิสิทธิ์กล่าว

ผู้ดำเนินรายการถามว่า เหตุใดจึงไม่เห็นด้วยกับการลาออกของ ส.ส. เพราะน่าจะเป็นการยกมาตรฐานการเมืองไทย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าต้องแยกกัน ถ้าเป็นตำแหน่งในฝ่ายบริหารจะมีความเข้มงวดกวดขันขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง สมมุติว่าเป็นการทำหน้าที่อยู่แล้วมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีปัญหาโต้แย้ง แล้วเรื่องจะไปถึงศาล ตนคิดว่าฝ่ายบริหารควรจะแสดงออก แต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร และตำแหน่งของเขาไม่ใช่ตำแหน่งแต่งตั้ง แต่เป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าเขาลาออกต้องไปเลือกตั้งซ่อม

ในส่วนของ ส.ส.และ ส.ว.มีหลายคนมาก ผมก็ถามในทางกลับกันว่า สมมุติลาออกไป 50 คน มีการเลือกตั้งซ่อม 50 เขต ปรากฏมี 1 คนไม่ลาออก ขอต่อสู้คดีในชั้นศาลแล้วเกิดชนะขึ้นมา ไม่ถูกคนว่าหรือว่าไปเสียเงินเลือกตั้งซ่อม 50 เขตทำไม อย่าลืมว่าสมมุติเลือกตั้งซ่อม 50 เขต คนที่ลาออกมีสิทธิกลับไปลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยเพราะไม่ได้ขาดคุณสมบัติแล้ว ส่วนใหญ่ขายหุ้นไปแล้ว เกิดเขาได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามา เราไม่มาบ่นกันอีกหรือว่าเสียเงินเลือกตั้งซ่อมไปทำไม 50 เขต นายกรัฐมนตรีกล่าว

ส่วนกรณีที่บางฝ่ายหยิบยกกฎเหล็ก 9 ข้อขึ้นมาใช้เป็นมาตรฐานนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงว่า กฎเหล็กใช้สำหรับฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนนายสุเทพเองไม่ได้มีปัญหาในฐานะฝ่ายบริหาร เพราะได้ขายหุ้นไปตั้งแต่ก่อนมาดำรง ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

โฆษกปชป.ปัดล่วงรู้ผลศาลรธน.ชี้

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ กกต.ชี้มูล 13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และมีข่าวปล่อยออกมาว่ามีการยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว โดยระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ล่วงรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้าว่า ขอยืนยันว่าพรรคไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือสถาบันศาล และเรื่องดังกล่าว กกต.ยังไม่ได้ยื่นให้ประธานสภา หรือยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เป็นการพยายามปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันศาล ส่วนที่ปล่อยข่าวออกมาว่าถ้า 16 ส.ว.โดนศาลรัฐธรรมนูญชี้มูล 12 ส.ส.ประชาธิปัตย์จะชิงลาออกจากการเป็น ส.ส. พรรคขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะ 12 ส.ส.ของพรรคยังยืนยันที่จะขอต่อสู้ความจริงในศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อจะรอคำวินิจฉัยและจะเป็นการวางบรรทัดฐานทางการเมืองด้วยคำวินิจฉัยของศาลอย่างชัดเจน

ปชป.โต้ข่าว12ส.ส.ทยอยไขก๊อก

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงปฏิเสธข่าว 12 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูก กกต.วินิจฉัยให้ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.เตรียมทยอยลาออกเพราะเกรงจะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลว่า ไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะข่าวที่บอกว่าพรรคได้รับสัญญาณพิเศษจากบางฝ่ายทำให้เปลี่ยนใจก็ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวทำลาย เพื่อต้องการเชื่อมโยงว่าพรรคประชาธิปัตย์และ กกต.มีสายสัมพันธ์กัน

ขอยืนยันว่า 12 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมและปัญหา ส.ส.ถือหุ้นไม่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล เพราะปัจจุบันรัฐบาลมี ส.ส.อยู่ 276 เสียง ส่วนฝ่ายค้านมีอยู่ 200 เสียง ซึ่งถ้าดูคร่าวๆ หากรวม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กับ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล โดยใช้มาตรฐานเดียวกับ กกต.วินิจฉัย จะมี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลถูกตัดสิทธิ 2-3 คน รวมแล้วก็ 15-16 คน ที่ต้องหายไป หากโหวตกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายการเมืองและต้องตัดรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ไม่สามารถโหวตคะแนนได้อีก 10 กว่าคนก็จะไม่มีผลอะไร

ท้าหน.พท.ลงสมัครแข่งน้องสุเทพ

นายเทพไทกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้นายสุเทพลาออก แต่เมื่อนายสุเทพลาออกจากการเป็น ส.ส.ก็กลับโจมตีว่าสร้างภาพ ลดกระแสกดดันรัฐบาลไม่ใช่เป็นการแสดงสปิริตทางการเมือง ตนจึงอยากทราบจุดยืนพรรคเพื่อไทยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ พรรคเพื่อไทยควรขอบคุณนายสุเทพที่ลาออกและเปิดให้มีการเลือกตั้งซ่อมใน ส.ส.เขต 1 สุราษฎร์ธานี ซึ่งพรรคเพื่อไทยประกาศที่จะส่งคนลงสมัคร ตนอยากเสนอให้ส่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลงสมัคร เพราะเป็นคน อ.กาญจนดิษฐ์ ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 1 ของสุราษฎร์ธานี อีกทั้งยังเป็นถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด ซึ่งจะไม่ทำให้นายยงยุทธเสียเปรียบแน่นอน

ย้อนอ๋อยดูตัวเองก่อนกี่มาตรฐาน

นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมว่า 2 มาตรฐาน ว่า ขอยืนยันว่ารัฐบาลนี้และกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหลักการหรือมาตรฐานในการปฏิบัติตามที่ถูกกล่าวอ้าง โดยยึดหลักกฎหมายและไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในทุกขั้นตอน และไม่เคยมีการตั้งธงไว้ก่อน จึงอยากฝากไปยังนายจาตุรนต์เช่นกันว่า นายจาตุรนต์มีกี่มาตรฐาน เพราะดูจากพฤติกรรมก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ออกมาบอกว่าจะยอมรับทุกคำตัดสินของศาล แต่พอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยแล้ว นายจาตุรนต์ออกมาวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่างๆ นานา อยากถามว่านายจาตุรนต์มีกี่มาตรฐานหรือพูดตามสถานการณ์

สามสีถามลาออกทำลิงอะไร

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ 1 ใน 13 ส.ส.ที่ กกต.มีมติให้พ้นสมาชิกภาพกล่าวว่า สาเหตุที่ไม่ลาออกจาก ส.ส. เพราะเห็นว่าคำวินิจฉัยของ กกต. ไม่ใช่คำตัดสินขั้นสุดท้ายของศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่เห็นด้วยที่จะต้องลาออก ส่วนใครจะลาออกก็ทำได้ อยากจะลาออกเพื่อประชดใครก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกัน

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์รอดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี 16 ส.ว.เสียก่อนแล้วจะทยอยลาออก เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาลนั้น นายไตรรงค์กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ เพราะกรณีนี้ต้องวินิจฉัยเป็นรายบุคคล จะมาหยิบยก 16 ส.ว.มาเทียบเคียงไม่ได้ เพราะศาลจะพิจารณาเป็นรายตัว อีกทั้งด้วยความแตกต่างของลักษณะการถือหุ้นที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นส่วนตัวคิดว่าอย่าไปบ้าจี้ลาออกเลย

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ลาออก จะไปลาออกทำลิงอะไร ใครจะลาออกประชดใครก็เรื่องของเขา รอฟังคำวินิจฉัยของศาลจะดีกว่า อย่างไรก็ตาม ผมไม่แคร์ว่าถ้าโดนแล้วอาจหลุดจากการเป็น ส.ส. เพราะผมไม่ยึดติด ไม่ได้เป็นคราวนี้ก็ได้เป็นคราวหน้า เพราะอย่างไร ส.ส.สัดส่วน 3 คนแรกต้องมีชื่อผมอยู่ในนั้น นายไตรรงค์กล่าว

พท.จี้นายกฯประกาศจุดยืนแก้รธน.

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ 16 ส.ว. และ13 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถูก กกต.มีมติให้พ้นสภาพการเป็น ส.ส. ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงมาจากการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เสนอผลการศึกษาต่อนายอภิสิทธิ์ ไปแล้วว่าสมควรแก้ไขมาตราใดบ้าง เพื่อให้บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาลและเจ้าภาพในการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ แสดงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการประกาศให้ชัดเจนเลยว่าจะแก้ไขตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอหรือไม่

ซัดสุเทพสร้างภาพมีสปิริต

นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ ลาออกจากการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีซึ่งให้คุณให้โทษนั้นว่า ไม่ได้เป็นการแสดงสปิริตแต่อย่างใด แต่เป็นการลาออกเพื่อเพื่อเปิดทางให้น้องชายของตัวเองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นจนได้รับใบแดงจากการลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ได้ลงสมัคร ส.ส.ดังนั้นที่บอกว่าแสดงสปิริตจึงเป็นแค่การสร้างภาพ เพราะของจริงต้องลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงด้วย

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.สุราษฎร์ธานีว่า เป็นการทำพินัยกรรมทางกรเมืองขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเปิดทางให้น้องชายตัวเองลงสมัครรับเลือกตั้งแทน เรื่องนี้จึงเป็นการผ่องถ่ายตำแหน่งกันในครอบครัวเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร ส.ส.สุราษฎร์ธานีคนใหม่หนีไม่พ้นคนในตระกูลเทือกสุบรรณ อยู่ดี ซึ่งประเทศชาติไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากนายสุเทพจะลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

ชัยหวั่นเปลืองงบค้าน12ส.ส.ออก

ที่รัฐสภานายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ที่นายสุเทพลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. สุราษฏร์ธานี ว่า ตนมองว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีของระบอบประชาธิปไตย นายสุเทพพูดมาตลอดว่าถึงอย่างไรก็ต้องลาออก เพราะจะลงเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินว่าดีหรือไม่ดีควรเลือกกลับเข้ามาหรือไม่ ส่วน ส.ส. 12 คนที่เหลือควรจะลาออกหรือไม่นั้นคงจะทยอยๆ ไป เพราะยังมีเวลา ในระหว่างที่ยังไม่มีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องลาออกก็ได้ เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่า 12 ส.ส. ที่เหลือควรลาออกหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า คิดว่าควรรอก่อน เพราะเศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยดี หากจัดการเลือกต้องใช้งบประมาณหลายสิบล้าน

เมื่อถามถึงกรณีที่ กกต. กำลังพิจารณาการถือหุ้นในกิจการที่รับสัมปทานจากรัฐซึ่งขัดรัฐธรรมนูญของนายชัยนั้น นายชัยกล่าวว่า ขณะนี้ กกต. ยังไม่ได้เรียกให้เข้าไปชี้แจง แต่เรื่องของตนเป็นเรื่องการประทานบัตร ที่ผ่านมา กกต. ได้มีการวินิจฉัยยกคำร้องไปหมดแล้ว ตนไม่ได้กังวัลใจอะไรทั้งสิ้น ถ้าผิดก็ต้องออก เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่เขาเสนอไปเพราะเกลียดขี้หน้าตน และหาก กกต. มีคำวินิจฉัยอย่างไรต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ต้องถือกฎหมายเป็นหลัก เราไม่ใช่คนเหนือกฎหมาย แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญเดียวกัน

โต้อ๋อยไม่ได้ร่างรธน.กับดักแม้ว

นายวุฒิสาร ตันไชย ผู้อำนวยการวิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 กล่าวถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ระบุว่าสาเหตุที่ทำให้ส.ส.ต้องขาดคุณสมบัติเพียงแค่ถือหุ้นเล็กน้อยมาจากการที่รัฐธรรมนูญ 2550 มีปัญหา ว่า รัฐธรรมนูญเป็นส่วนหนึ่งของกติกาที่ยอมรับร่วมกันของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง หรือการควบคุมทางการเมือง ซึ่งย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็น เช่นเดียวกับการวินิจฉัยของ กกต.ที่วินิจฉัยออกเป็น 2 ทาง คือเสียงข้างน้อย และเสียงข้างมาก ดังนั้นประเด็นดังกล่าวคงจะสรุปอะไรไม่ได้ เพราะต้องรอผลการตัดสินขvอศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็นที่สิ้นสุดและ เป็นแนวปฎิบัติ บรรทัดฐานในสังคมต่อไป

ในกรณี้นี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญ 2550 แก้ไขไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้ถ้าต้องการความชัดเจน โดยการดูเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องการถือหุ้นของ ส.ส. และส.ว.กรรมาธิการยกร่าง ต้องการให้นักการเมืองไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ นายวุฒิสารกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐธรรมนูญถูกกล่าวหาว่าเขียนเพื่อเล่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น นายวุฒิสารกล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อมุ่งร้ายต่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการกำหนดกติกาให้คนทั้งประเทศ

เกื้อกูลคาด44 ส.ส.ซ้ำรอย13ส.ส.

นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงคมนาคม ในฐานะ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 1 ใน 44 ส.ส. ที่ถือครองหุ้นในบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานของรัฐ ซึ่ง กกต.จะวินิจฉัยในวันที่ 23 กรกฎาคม กล่าวว่า หากดูแนววินิจฉัยของ กกต. กรณี 16 ส.ว. และ 13 ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ คาดการณ์ว่ากรณี 44 ส.ส. น่าจะเดินตามแนวทางเดียวกัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการหารือในพรรคเกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติ หรือปรึกษาพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาชทพ. ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันแต่อย่างใด เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องไปสู้คดีต่อไป

เมื่อถามว่า การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ของนายสุเทพ จะเป็นแรงกดดันให้ ส.ส. คนอื่นยึดบรรทัดฐานเดียวกันหรือไม่ นายเกื้อกูลกล่าวว่า ไม่ เพราะนายสุเทพลาออกจาก ส.ส. ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ต้องการเสียสมาธิกับการต่อสู้คดี มันเป็นเหตุผลใครเหตุผลมัน

เมื่อถามว่า หาก กกต. ชี้ว่าขาดคุณสมบัติ รัฐมนตรีจะเสียสมาธิกับการต้องต่อสู้คดีหรือไม่ นายเกื้อกูลกล่าวว่า ไม่ เพราะความรู้สึกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ทำอะไรซ่อนเร้น ไม่ได้ตั้งใจทำเรื่องชั่วร้าย ภริยาของผมก็ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการลงทุนโดยทั่วไป เราประกอบการอย่างสุจริต ไม่มีอะไรเป็นเรื่องพิเรนทร์เลย แต่เมื่อกลายเป็นประเด็นขึ้นมา ผมพร้อมชี้แจงในทุกขั้นตอน

กษิตแจงจะไปบอกสนธิเอง

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางมาถึงโรงแรมลากูนา บีช รีสอร์ท จ.ภูเก็ต เพื่อเป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงอาหารค่ำแก่รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลว่าทำให้มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยนายกษิตได้หยุดเดินแล้วตอบเพียงสั้นๆ ว่า ผมจะไปกราบเรียนท่าน พล.อ.สนธิด้วยตัวเองครับ

เมื่อถามว่า จะกราบเรียนว่าอย่างไร นายกษิตหันกลับมาตอบอีกครั้งว่า ก็นโยบายอันดีงามของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก่อนที่จะเดินไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำอาเซียนทันที

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook