ผลสำรวจนักธุรกิจเชียงใหม่ ชี้พื้นที่สีแดงฉุดรั้งการพัฒนาเมือง ไม่เชื่อมั่น ไทยเข้มแข็ง ฟื้น ศก.
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วน 2 อันดับแรกที่รัฐบาลต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรมในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นักธุรกิจร้อยละ 27 เห็นว่าต้องแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยว ร้อยละ 15 ต้องแก้ไขปัญหาสินค้าการเกษตร ร้อยละ 14 แก้ไขปัญหาการว่างงาน การเลิกจ้าง ร้อยละ 9 ดูแลการส่งออก ร้อยละ 8 แก้ปัญหาความเชื่อมั่นและสินค้าราคาสูง ร้อยละ 7 แก้ปัญหาราคาน้ำมัน และร้อยละ 5 แก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับสภาพคล่องทางการเงิน พบว่าในปัจจุบันนักธุรกิจร้อยละ 55 ไม่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง แต่ร้อยละ 45 กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ขณะที่ร้อยละ 39 ประสบปัญหาสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ ส่วนนักธุรกิจอีกร้อยละ 61 ยังไม่มีปัญหาในการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วมีความต้องการให้ จ.เชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง (hub) ด้านใดมากที่สุดนั้น ส่วนใหญ่ร้อยละ 68 ระบุว่าต้องการให้เมืองเชียงใหม่พัฒนาไปเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว รองลงมาร้อยละ 19 ต้องการพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านบริการสุขภาพ และร้อยละ 13 ต้องการให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชียงใหม่จะมีศักยภาพในหลายด้าน แต่ก็ยังมีอุปสรรคที่ฉุดรั้งการพัฒนาเชียงใหม่ ซึ่งนักธุรกิจร้อยละ 47 เห็นว่าสาเหตุสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเชียงใหม่ คือ ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง และการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ร้อยละ 21 เกิดจากผู้นำประเทศขาดวิสัยทัศน์ ร้อยละ 21 เห็นว่าเกิดจากคนในท้องถิ่นไม่มีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนา และอีกร้อยละ 11 มีการโยกย้ายเปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการจังหวัดบ่อยเกินไป
นอกจากนี้ นักธุรกิจจำนวนมากถึงร้อยละ 87 เห็นว่าการเป็นพื้นที่สีแดงส่งผลกระทบต่อการพัฒนา จ.เชียงใหม่ และมีเพียงร้อยละ 13 เห็นว่าไม่มีผลกระทบ
ขณะเดียวกัน นักธุรกิจร้อยละ 81 เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในช่วงกลางปี 2553 หรือนานกว่านั้น และร้อยละ 19 เชื่อว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนประเด็นการลงทุนใหม่นั้น ร้อยละ 54 ระบุว่าจะยังไม่มีการลงทุนเพิ่มในครึ่งปีหลังนี้ ที่เหลืออีกร้อยละ 46 เตรียมที่จะลงทุนเพิ่ม
ประเด็นสุดท้าย นักธุรกิจเชียงใหม่ร้อยละ 64 ไม่เชื่อมั่นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ มีเพียงร้อยละ 36 เชื่อมั่นมาตรการนี้
