ชี้ปี53เศรษฐกิจเอเชียไม่ฟื้นคนยากจนพุ่ง100ล. เอดีบีจ่อลดเป้าจีดีพีไทยลบเกิน2%
ส่วนปี53 ประเทศในแถบเอเชียจะฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจเป็นแบบวีเชฟ และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเศรษฐกิจจะปรับตัวเป็นบวกได้ประมาณ 6% จากปีนี้เติบโตเฉลี่ยประมาณ 3% หลังจากถดถอยมานานนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีประเทศจีนเป็นผู้นำหลังจากใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผล ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(จีดีพี) ปีหน้าจะโต 8% จากที่ปีนี้โตเพียง 7% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 20 ปี แต่ต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในแถบยุโรปด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในแถบเอเชียต้องพึ่งประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และสินค้าส่งออก 60% ในภูมิภาคนี้ยังอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม
สำหรับอาเซียน 4 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะมีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกัน ไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจช้ากว่าประเทศอินโดนีเซียที่ปี53 จะมีอัตราการขยายตัว 5% มาเลเซีย 4.5% และฟิลิปปินส์ 3.5% เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่มาก ประกอบกับขนาดของเศรษฐกิจในประเทศน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งการฟื้นตัวครั้งนี้ จะต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
วิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้เกิดจากวิกฤตของประเทศอุตสาห กรรมหลัก แต่ประเทศในแถบเอเชีย รวมทั้งไทย ยังมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีอยู่มาก ดังนั้น เพื่อให้สามารถฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐ กิจไปได้ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจำเป็นต้องปรับปรุงการกำกับดูแลให้เข้มแข็ง นอกจากนี้ประเทศในแถบเอเชียเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง หนี้สาธารณะยังอยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้นการจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจำเป็นต้องคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแล้วจริงๆ นายลีกล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในเอเชียมาจากเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ความไม่มั่นคงด้านการเมืองและการแพร่ระบาดของโรค โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทำให้เกิดปัญหาการว่างงานและความยากจนเพิ่มขึ้น ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีคนในเอเชียยากจน 60 ล้านคน และถ้าปี53 เศรษฐกิจเอเชียไม่ฟื้นตัวคนจะยากจนเพิ่มเป็น 100 ล้านคน ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวในปี53 และยืนยันว่าไทยไม่ได้เกิดปัญหาเงินฝืด
