สลด! ลูกคนโต ไมเคิล ถูกหมอสั่งทนดูกู้ชีพพ่อหวังใช้เป็นพยาน ทั้งที่ร่างหมดลมหายใจ

สลด! ลูกคนโต ไมเคิล ถูกหมอสั่งทนดูกู้ชีพพ่อหวังใช้เป็นพยาน ทั้งที่ร่างหมดลมหายใจ

สลด! ลูกคนโต ไมเคิล ถูกหมอสั่งทนดูกู้ชีพพ่อหวังใช้เป็นพยาน ทั้งที่ร่างหมดลมหายใจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ครอบครัว ไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป็อป เปิดเผยลูกชายคนโตของไมเคิลต้องทนดูหมอประจำตัวพยายามช่วยกู้ชีพพ่ออย่างไร้ผล เพราะที่จริงไมเคิลได้ตายไปแล้ว แฉฉีดยา โพรโพฟอล ต้องทำในสถานพยาบาลเท่านั้น และต้องทำโดยวิสัญญีแพทย์ที่เชี่ยวชาญ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ครอบครัวของ ไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป็อปผู้ล่วงลับ เปิดเผยว่า ดร. คอนราร์ด เมอร์เรย์ ทำให้ ปรินซ์ ไมเคิล บุตรชายคนโตวัย 12 ปี ต้องทนดูความพยายามที่ไร้ผลในการกู้ชีพพ่อของตัวเอง ที่อยู่ในท่านอนคว่ำ เนื่องจากเขาต้องการพยานรู้เห็น เพื่อชี้ให้เห็นความพยายามทำให้หัวใจของไมเคิลกลับมาเต้นอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้ลูกชายของไมเคิลบอบช้ำทางจิตใจอย่างมาก ขณะที่ตำรวจกำลังพยายามปะติดปะต่อทุกเสี้ยววินาทีของ 12 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่ไมเคิลเสียชีวิต ขณะที่หลักฐานใหม่ๆ ก็ปรากฎขึ้นมาเรื่อยๆ และครอบครัวของเขาก็พร้อมที่จะดำเนินการตามกฎหมาย

ดร.สตีเวน เฮิฟฟลิน ศัลยแพทย์มือหนึ่งด้านศัลยกรรมความงาม ซึ่งเป็นตัวแทนของนางแคทเธอรีน แม่ของไมเคิล กล่าวว่า โรงพยาบาลยูซีแอลเอ ในลอส แองเจลิส เชื่อว่า ไมเคิล เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลไปยังห้องฉุกเฉิน และเชื่อว่าเขาเสียชีวิตจากยา โพรโพฟอล ซึ่งคนที่อยู่ในคฤหาสน์เล่าว่า เห็น ดร.เมอร์เรย์ให้ยาโปรโพฟอลผ่านหลอดเลือดดำของไมเคิลทุกคืนเหมือนการให้น้ำเกลือ และคนที่รู้เรื่องยาชนิดนี้จะทราบว่า คนให้ยาตัวนี้ได้ต้องเป็นวิสัญญีแพทย์ที่ฝึกมาอย่างดี และต้องให้ที่สถานพยาบาลเนื่องจากมีความอันตรายมาก เขาคิดว่า ดร.เมอร์เรย์ ต้องเผลอหลับโดยเข็มยังเสียบคาแขนของไมเคิลอยู่ และดร.เมอร์เรย์ ต้องรู้ว่าไมเคิลเสียชีวิตแล้ว จึงไม่ยอมเอาตัวไมเคิลลงไปอยู่บนพื้นราบที่แข็งกว่าเพื่อทำซีพีอาร์หรือกู้ชีพให้

ขณะที่เจ้าหน้าที่รถพยาบาลเปิดเผยว่า ดร.เมอร์เรย์ไม่ยอมให้พวกเขาช่วยชีวิตไมเคิลบนรถพยาบาล และหยุดทำซีพีอาร์ตอนที่ไมเคิลถึงโรงพยาบาล ก่อนถูกประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว และครอบครัวไมเคิลยังให้การกับตำรวจด้วยว่า หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับยาโพรโพฟอลถูกทำลายไปหมดแล้ว ทำให้ตำรวจต้องกลับไปที่คฤหาสน์อีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ยังพบโพรโพฟอลอีกจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่ในตู้

ดร.เฮิฟฟลิน เปิดเผยด้วยว่า สาเหตุที่ไมเคิลต้องหันไปพึ่งการทำศัลยกรรมเสริมความงาม เป็นเพราะเด็กๆ ข้างบ้านเขาชอบล้อเลียนไมเคิลว่าจมูกโต และตอนที่เขาไปพบ ดร.เฮิฟฟลินก็เป็นตอนที่เขาอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายแล้ว ซึ่ง ดร.เฮิฟฟลิน กล่าวว่า ช่วงที่จมูกแจ็คสันดูดีที่สุดคือตอนที่เขากำลังรุ่งเรืองจากอัลบั้ม ทริลเลอร์ ถ้าเขาจะหยุดอยู่แค่นั้น

ด้านศัลยแพทย์อีกคนหนึ่ง คือ ดร.วอลเลซ กู้ดสไตน์ ประเมินว่า ไมเคิลน่าจะผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามราว 50 ครั้ง โดยฝีมือของ ดร.เฮิฟฟลิน ซึ่งเขาปฏิเสธ และอ้างว่า ดร.กูดสไตน์ ถูกลงโทษทางวินัยจากแพทยสภาในรัฐแคลิฟอร์เนียในเรื่องนี้ไปแล้ว เนื่องจากดร.กูดสไตน์เช่าพื้นที่ในสำนักงานของเขา แต่ไม่เคยทำงานร่วมกัน และก็ไม่เคยพบไมเคิลเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook