ลากครม.แบกขายข้าวโพด-มันเจ๊ง

ลากครม.แบกขายข้าวโพด-มันเจ๊ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กอร์ปศักดิ์ดิ้นเฮือกพ่อค้ากดต่ำติดดิน มึนตึ้บข้าวโพดเน่าคาสต๊อกจี้ระบายด่วน

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จะเสนอให้ที่ประชุม ครม.วันพุธที่ 5 ส.ค. พิจารณาเห็นชอบผลการประมูลมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในสต๊อกของรัฐบาล ที่ดำเนินการโดยกรมการค้าต่างประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนและกฎระเบียบที่ถูกต้องและเป็นไปตามมติครม.ปัจจุบัน

เบื้องต้นเห็นว่าผลการประมูลมันสำปะหลังนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเพราะมีผู้สนใจมากและให้ราคาประมูลที่สูง ทั้งแป้งมันและมันเส้น แต่ในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นยอมรับว่า ผลไม่เป็นที่น่าพอใจโดยเฉพาะเรื่องราคาในลอตที่กำหนดให้มีการส่งออกต่างประเทศ ที่พบว่าผู้ประกอบการเสนอราคาซื้อที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก และยังมีข้าวโพดอีกจำนวนมากที่เสื่อมสภาพ ซึ่งในวันที่ 4 ส.ค. คณะกรรมการด้านการระบายสินค้าเกษตรจะเสนอทางออกมาให้พิจารณาอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้กรมการข้าว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ เร่งจัดทำรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการเปิดโครงการรับประกันราคาข้าวนาปี 52/53 รวมถึงการเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเกษตรกร โดยต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ภายในกลางเดือน ส.ค.นี้ พิจารณาอย่างละเอียดทั้งวิธีดำเนินการ ขั้นตอนดำเนินงานะยะเวลาและจำนวนเงินงบประมาณ เพื่อประกาศโครงการที่ชัดเจนต่อไป ทำให้การ ประชุม กขช. เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ไม่ได้พิจารณา ข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ที่เสนอของบประมาณ 4,500 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานในโครงการรับ ประกันราคาข้าว ไม่ได้หมายความว่าตีกลับข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ตามที่กระแสข่าวออกมาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กขช.ยังเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ไปปรับปรุงระเบียบการประมูลข้าวให้ถูกต้องชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้ประมูลข้าวนาปี 52/51 ขณะที่ กขช. ได้เห็นชอบให้เปิดประมูลข้าวเก่าคือข้าวนาปรังปี 51 จำนวน 4 แสนตัน จึงทำให้การประมูลข้าวต้องล่าช้าออกไปบ้าง แต่ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด

ส่วนการขายข้าวผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือเอเฟท 3 แสนตัน นั้นยังคงเป็นไปตามมติเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงใด ๆ

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ จะเดินทางไปยังพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อรับฟังปัญหา ข้อเท็จจริงและแนวทางแก้ไข เรื่องการฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายทุกขั้นตอนตามมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญปี 50 เพื่อนำรายละเอียดทั้งหมดมาให้นายกฯพิจารณาต่อไป เพราะล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานให้ทราบว่าผลจากการฟ้องร้อง และรัฐบาลยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนได้ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนที่อยู่ระหว่างการลงทุนะขยายกิจการกว่า 2 แสนล้านบาท

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ขณะนี้บรรดา ครม. เศรษฐกิจหลายคน ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาที่มาบตาพุด มายังนายกรัฐมนตรีโดยตรง เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน เพราะมีหลายโครงการต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการปิโตร เคมี ซึ่งบางโครงการมีมูลค่า 10,000-20,000 ล้านบาท ขณะที่บางโครงการมีมูลค่าลงทุนสูงกว่า 100,000 ล้านบาท จึงต้องการให้รัฐบาลตัดสินใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน

ทั้งนี้ล่าสุดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานให้ที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ รับทราบความคืบหน้าว่า กระทรวงทรัพยากร ได้จัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น และระยะยาว โดยระยะสั้นจะให้บูรณาการ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และด้านสุขภาพ (เอชไอเอ)

นอกจากนี้จะแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการ เพื่อพิจารณาโครงการ หรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง โดยกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์ และวิธีประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ เพื่อเสนอให้กระทรวงทรัพยากรฯนำไปรวมกับอีไอเอ เป็นต้น.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook