ชงปลด-ไล่ออก"พระเทพวิสุทธิกวี" ผิดวินัยร้ายแรง

ชงปลด-ไล่ออก"พระเทพวิสุทธิกวี" ผิดวินัยร้ายแรง

ชงปลด-ไล่ออก"พระเทพวิสุทธิกวี" ผิดวินัยร้ายแรง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กก.สอบข้อเท็จจริงได้ข้อสรุป.ปลด-ไล่ออก พระเทพวิสุทธิกวี รองอธิการบดี มมร.เข้าข่ายทำผิดวินัยร้ายแรง เหตุใช้ตำแหน่ง-หน้าที่-ขอรับบริจาค สร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก และโครงการพระพุทธโสธร "รุ่นเจริญสุข" ที่ปรึกษากม.เผยอธิการบดีถูก"พระผู้ใหญ่-นักการเมือง"บีบให้ยุติเรื่อง

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ที่ปรึกษากฎหมายของพระเทพปริยัติวิมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) เปิดเผยกรณีเข้าร้องทุกข์ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนบริษัทเอกชน และกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างนำชื่อและตราสัญลักษณ์ของ มมร.และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปแอบอ้างในโครงการจัดสร้างพระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ และโครงการเชิญชวนเช่าบูชาวัตถุมงคลพระพุทธโสธร "รุ่นเจริญสุข" ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงบุคคลภายในของ มมร.มีมติเอกฉันท์ให้นำผลสอบสวนเสนอ พระเทพปริยัติวิมลพิจารณาเห็นชอบปลดออก หรือไล่ออก ผู้บริหารระดับสูงของ มมร. 2 ราย และโยกย้ายเจ้าหน้าที่อีก 20 ราย

ทั้งนี้ ภายหลัง มมร.เข้าร้องทุกข์ต่อดีเอสไอให้สอบสวนเรื่องนี้ มีประชาชนที่เคยบริจาคเงินจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ รายละ 50,000-100,000 บาท รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เข้าร้องทุกข์ต่อ มมร.จำนวนมาก และจากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทผลิตภาพยนตร์ดังกล่าว พบว่าสำนักงานที่ได้จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 555 ถนนนวมินทร์ 28 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เป็นบ้านร้างสภาพทรุดโทรม ซึ่ง มมร.จะรวบรวมข้อมูลส่งให้ดีเอสไอได้เร่งตรวจสอบต่อไป นอกจากนี้ ทีมกฎหมายยังได้ตรวจสอบกระบวนการจัดสร้างภาพยนตร์ดังกล่าว พบมีนักการเมือง ข้าราชการ และผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมากด้วย

นายสงกรานต์ กล่าวว่า ส่วนโครงการพระพุทธโสธร "รุ่นเจริญสุข" ของ สกสค.ที่แอบอ้างชื่อ มมร. ขณะนี้ มมร.ได้ประสานให้ทางดีเอสไอช่วยตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้บริหาร สกสค.และกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ขณะเดียวกัน มมร.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลภายใน มมร.ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก และโครงการเช่าวัตถุมงคลของ สกสค.ซึ่งมีนายสุทธิ ผลสวัสดิ์ อดีตอธิบดีกรมพลศึกษา และอธิบดีกรมอาชีวศึกษา เป็นประธาน และกรรมการประกอบด้วย นายสมภาพ หงส์กิตติยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย นายอาทิฐ ศรีมุข ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และ น.ส.นวรัตน์ พัชราวุธ เลขานุการ ได้ข้อสรุปผลสอบเกี่ยวกับบุคคลภายในมหาวิทยาลัยที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำชื่อและตราสัญลักษณ์ของ มมร.และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปแอบอ้างโดยไม่ได้รับอนุญาตในโครงการจัดสร้างพระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ และโครงการเชิญชวนเช่าบูชาวัตถุมงคลพระพุทธโสธร "รุ่นเจริญสุข" ของ สกสค. รวมทั้งกรณีการลงนามแทนอธิการบดีในหนังสือรับบริจาค และเอกสารต่างๆ ที่ส่งไปยังหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนด้วย

"คณะกรรมการสอบสวนมีมติเอกฉันท์ให้นำผลสอบสวนทั้งหมดเสนอให้พระเทพปริยัติวิมลพิจารณาเห็นชอบ ดังนี้ 1.ขอให้โยกย้ายเจ้าหน้าที่ภายใน มมร.จำนวน 20 ตำแหน่ง เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีทั้งทางวินัย และอาญา และ 2.เสนอให้ปลดออก หรือไล่ออก ผู้บริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เนื่องจากกระทำผิดวินัยร้ายแรง ในการใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่ เพื่อไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ที่สำคัญพบว่าเอื้อประโยชน์กับบริษัทจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก และกลุ่มบุคคล ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันเบื้องสูง และ มมร. รวมทั้งกรณีไปลงนามแทนอธิการบดีในเอกสารต่างๆ เพื่อขอรับบริจาคในการจัดสร้างภาพยนตร์พระไตรปิฎก และโครงการเชิญชวนเช่าบูชาวัตถุมงคลพระพุทธโสธร "รุ่นเจริญสุข" ของ สกสค.เป็นการกระทำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิการบดี" นายสงกรานต์กล่าว

ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินคดีทางอาญากับกลุ่มบุคคล หน่วยงานภาครัฐ นายสงกรานต์กล่าวว่า ทราบว่าในเร็วๆ นี้ ดีเอสไอจะพิจารณารับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากเห็นว่ากรณีนี้เป็นการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงมาทุจริต เพื่อหาผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม มมร.จะรวบรวมเอกสารและหลักฐานต่างๆ จัดทำรายงานเสนอให้มหาเถรสมาคม (มส.) รับทราบด้วย

"จากหลักฐานต่างๆ มีผู้บริหาร 2 รายที่จะถูกดำเนินการเอาผิดในข้อหา 1.สร้างพยานหลักฐานเอกสารเท็จที่ส่งไปยังหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 2.กระทำการแทนอธิการบดีโดยไม่ได้รับมอบหมาย และ 3.ใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต ทั้งนี้ หากผู้กระทำผิดเป็นพระภิกษุสงฆ์ ก็ถึงขั้นปาราชิกต้องสึกจากการเป็นพระสงฆ์ เพราะต้องรับโทษทางคดีอาญา ในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ คณะกรรมการจะนำข้อสรุปเสนอให้อธิการบดีลงนามเห็นชอบ เพื่อจะได้สามารถดำเนินคดีทั้งทางวินัย และตามกฎหมายต่อไป" นายสงกรานต์กล่าว

นายสงกรานต์ กล่าวว่า ขณะนี้ มมร.ถูกข่มขู่จากพระเถระผู้ใหญ่ และนักการเมืองอย่างหนัก เพื่อให้หยุดดำเนินคดีอาญาและแพ่ง อย่างไรก็ตาม หากทำตามคำขู่ก็ถือว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ จะมีความผิดตามกฎหมายด้วยเช่นกัน ดังนั้น ขอยืนยันว่า มมร.จะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

"ตอนนี้อธิการบดีถูกกดดันอย่างหนักจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในวัดในกรุงเทพฯ ไม่ให้ตัดสินโทษ และล็อบบี้ดีเอสไอไม่ให้ดำเนินคดีคนใน มมร.ที่มีส่วนรู้เห็นและแอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัย รวมทั้งลงนามในเอกสารต่างๆ ทั้งนี้ คาดว่าทุกอย่างจะได้ข้อยุติเร็วๆ นี้" นายสงกรานต์กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผลสรุปผลสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลภายใน มมร.ที่จะเสนอให้พระเทพปริยัติวิมลลงนาม ในส่วนของผู้บริหารระดับสูง 2 ราย ที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสนอให้ปลด หรือไล่ออก เนื่องจากอาจเข้าข่ายว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรงนั้น ได้แก่ พระเทพวิสุทธิกวี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน มมร. และนิติกรของ มมร. ส่วนจะดำเนินการเอาผิดตามที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเสนอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพระเทพปริยัติวิมล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook