เจ้สด สบโอกาสหาช่องเปลี่ยนอนุกรรมการ

เจ้สด สบโอกาสหาช่องเปลี่ยนอนุกรรมการ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
วันนี้ (15 ส.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวถึงกรณีผลสอบเงินสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาทและเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์โดยเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ผิด ว่า ผลการตัดสินของคณะอนุกรรมการไต่สวน ที่กกต.ให้ดำเนินการจะไม่มีผลผูกพันต่อการตัดสินใจ ของ กกต. ทั้ง 5 คน โดยเห็นได้จากที่ผ่านมา กรณีการตัดสินคดี 16 ส.ว. ถือหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ ซึ่งทางชุดใหญ่ก็เห็นต่างจากผลสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ สำหรับผลสอบที่รั่วออกมานั้น ตนคิดว่าน่าจะเพื่อต้องการกดดันกกต. แต่คิดว่าไม่เป็นผล เพราะไม่มีใครเป็นผู้บังคับบัญชาของกกต. และกกต.ก็จะใช้ดุลยพินิจของตัวเอง และกกต.ก็ไม่ได้เชื่อคณะอนุกรรมการฯ เสียหมด เพราะสิ่งที่กกต.ต้องการคือข้อเท็จจริงที่เราให้ไปตรวจสอบ ว่าได้มีการดำเนินการครบถ้วนหรือไม่ หลักฐานต่างๆเป็นอย่างไร

ตนได้มีโอกาสเจอเลขาคณะอนุกรรมการไต่สวนชุดนี้ที่งานแต่งงานเมื่อวันที่ 14 ส.ค.จึงได้สอบถามกรณีดังกล่าวเป็นอย่างไรม่มีข่าวรั่วออกไปได้เจ้าหน้าที่เราไปบอกใครหรือเปล่า ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีการประชุมกันจริง แต่เมื่อประชุมเสร็จก็มีกรรมการท่านหนึ่งได้โทรศัพท์ออกไปข้างนอก แต่ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร นางสดศรี กล่าว

นางสดศรี กล่าวว่า สำหรับเรื่องข่าวที่รั่วออกไปสู่ข้างนอกนั้นตนและกกต.ท่านอื่นๆ ก็เคยได้มีการหารือกับกกต.ในที่ประชุมแล้ว ว่า เราควรที่จะมีการปรับคณะอนุกรรมการไต่สวนกันใหม่หรือไม่ และจากที่ได้มีการตรวจสอบก็พบว่า มีอนุกรรมการฯบางคนใน 15 ชุดนี้มีชื่อเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซึ่งก็เป็นทั้งพรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และพรรคที่ถูกยุบไป จำนวน 9 คน ดังนั้นก็เป็นโอกาสดีที่นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต.ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนนายสุเมธ อุปนิสากร ที่อายุครบ 70 ปี จะได้มีการปรับเปลี่ยนอนุกรรมการกันใหม่ ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันมาได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว และเร็วนี้น่าจะดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกันใหม่ โดยขณะนี้ก็อยู่ระหว่างที่ให้กกต.แต่ละคนไปหารายชื่อมาคนละ 20 รายชื่อ แล้วมาจัดกันใหม่

ช่วงต้นเดือนหน้า จะมีการสั่งทบทวนการทำงานของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยทุกชุดว่า มีการกระทำที่ถูกต้องตามระเบียบของ กกต. หรือไม่ เพราะขณะนี้ก็มีข่าวรั่วไหล หลายต่อหลายครั้ง หากพบว่า มีความผิดพลาดก็จะต้องมีเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกทั้งก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่อาจต้องมีการเปลี่ยน นางสดศรี กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยังมีความสงสัยอีกว่า เวลาประชุมลับกกต.เพียงแค่5 คนแล้วทำไมสื่อมวลชนยังทราบเรื่องอีก ในห้องประชุมจะมีเครื่องดักฟังหรือไม่ ตนอาจจะต้องประสานกับทางทหารหรือเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาตรวจดูในห้องประชุมกกต.ว่ามีการติดเครื่องดักฟังไว้หรือไม่ เหมือนอย่างที่เราเคยทำที่อาคารศรีจุลทรัพย์อีกครั้ง เพราะถือเป็นเรื่องอันตรายมาก ที่ความลับของราชการรั่วไหลออกไปภายนอก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook