เตือนเกษตรกรอย่าเสียสิทธิ์ รีบขึ้นทะเบียนก่อน 30 กันยายนนี้

เตือนเกษตรกรอย่าเสียสิทธิ์ รีบขึ้นทะเบียนก่อน 30 กันยายนนี้

เตือนเกษตรกรอย่าเสียสิทธิ์ รีบขึ้นทะเบียนก่อน 30 กันยายนนี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ครม. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีดำเนินการโครงการประกันราคาแล้วย้ำ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังและข้าว เร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในกันยายนนี้ สามารถทำสัญญาประกันราคากับ ธ.ก.ส. และใช้สิทธิขอรับเงินชดเชย โดยไม่ต้องส่งมอบสินค้า

นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงโครงการประกันราคา ที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือการประกันรายได้ขั้นต่ำให้แก่เกษตรกร ในปี 2553 ซึ่งเริ่มดำเนินการกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และข้าวแล้ว โดยขณะนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีดำเนินการโครงการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปี 2552/53 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 ให้เกษตรกรมาขึ้นทะเบียน โดยกำหนดระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2552 มีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ทั้ง 2 รูปแบบ คือ 1. ทะเบียนเกษตรกร หรือ ทบก. และ 2. ทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก หรือ ทพศ. จากนั้นจะมีการตรวจสอบข้อมูลและการประชาคมในแต่ละพื้นที่ก่อนที่จะออกใบรับรองให้แก่เกษตรกร เพื่อใช้ประกอบการทำสัญญาประกันราคากับ ธ.ก.ส. โดยได้กำหนดราคาประกันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่กิโลกรัมละ 7.10 บาท และราคาประกันมันสำปะหลังที่กิโลกรัมละ 1.70 บาท ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถทำสัญญากับ ธ.กส. ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน 2552 โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้สิทธิประกันราคาได้หลังวันทำสัญญา 15 วัน แต่ไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันทำสัญญา และใช้สิทธิได้ไม่เกิน 28 กุมภาพันธ์ 2553 สำหรับมันสำปะหลังใช้สิทธิประกันราคาได้หลังวันทำสัญญา 45 วัน แต่ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา และใช้สิทธิได้ไม่เกิน 31 พฤษภาคม 2553

ด้านนางนารีณัฐ รุณภัย รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวถึงราคาตลาดอ้างอิงว่า จะมีการประกาศทุก 15 วัน ในวันที่ 1 และ 16 ของเดือน หากราคาตลาดอ้างอิงต่ำกว่าราคาประกัน เกษตรกรจะขอรับการชดเชยส่วนต่างของราคาประกันและราคาตลาดอ้างอิงจาก ธ.กส. ในช่วงใดก็ได้ภายในเวลาประกัน ตามปริมาณที่ขึ้นทะเบียนและที่ทำสัญญาประกัน แต่ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ตัน สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วนมันสำปะหลังไม่เกิน 100 ตัน โดยไม่ต้องส่งมอบสินค้า และเมื่อราคาผลผลิตสูงขึ้นค่อยเอาข้าวโพดหรือขุดมันออกขาย และรับค่าข้าวโพดหรือหัวมันจากโรงงานอีกครั้ง

ดังนั้น เกษตรกรจะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองที่พึงได้รับจากมาตรการความช่วยเหลือของรัฐ โดยการเร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกร นำหลักฐานประกอบการขึ้นทะเบียนมาอย่างครบถ้วนและแจ้งข้อมูลที่เป็นจริง รวมถึงร่วมกันตรวจสอบข้อมูลของเพื่อนบ้านใกล้เคียง จากนั้นไปทำสัญญาประกันราคากับ ธ.ก.ส. แล้วติดตามการประกาศราคาตลาดอ้างอิงทุก 15 วัน เพื่อประกอบการตัดสินใจนำสัญญาประกันราคาไปใช้สิทธิประกัน โดยเกษตรกรสามารถรับเงินค่าชดเชยส่วนต่างมาใช้จ่ายได้ก่อนที่จะตัดสินใจขายผลผลิต และรอดูจังหวะราคาตลาดที่เหมาะสมในการขายผลผลิตให้กับโรงงาน ก่อนรับเงินค่าข้าวโพดหรือหัวมันอีกครั้ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook