แก๊งขนยาไฮโซ...นั่งเครื่องเข้ากรุงเทพฯ

แก๊งขนยาไฮโซ...นั่งเครื่องเข้ากรุงเทพฯ

แก๊งขนยาไฮโซ...นั่งเครื่องเข้ากรุงเทพฯ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เครือข่ายยาเสพติดชาวไทยใหญ่ ที่ถูกตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 จับกุม นอกจากจะได้ยาเสพติดลอตใหญ่มูลค่ามหาศาลเกือบ 200 ล้านบาทแล้ว ยังทำให้เห็นถึงโครงข่ายที่สลับซับซ้อน หัวเรือใหญ่นั่งเครื่องบินจากเหนือเข้ากรุงเทพฯ บัญชาการขนยาบนรถแท็กซี่สับเปลี่ยนไม่ซ้ำคัน ป้องกันตำรวจแกะรอย

ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2551 ที่ตำรวจ ปส.จับกุมเครือข่ายของ "มานะ อภิเรืองฤทธิ์" พร้อมยาบ้ากว่า 1 ล้านเม็ด พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส.และ พล.ต.ต.อดิเทพ ปัญจมานนท์ รอง ผบช.ปส.ก็สั่งการให้ชุดสืบสวนเฝ้าแกะรอยและสังเกตความเคลื่อนไหวของเครือ ข่ายยาเสพติดรายนี้อย่างใกล้ชิด

ทว่าพวกนี้ก็เหมือนนกรู้เมื่อเพื่อนร่วมขบวนการถูกจับกุมจึงหยุดความ เคลื่อนไหวไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ชุดสืบสวนจึงระแคะระคายข่าวคราวของแก๊งนี้อีกครั้ง ว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากแนวชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย เข้ามาพักไว้ในกรุงเทพฯ ก่อนจะทยอยส่งให้ผู้ร่วมขบวนการกระจายออกไปให้เอเย่นต์

ก่อนปฏิบัติการจับกุมกว่า 1 เดือน ชุดสืบสวน บช.ปส.ได้ประสานข้อมูลทางลับกับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 เฝ้าจับตาเครือข่ายนี้ตลอดเวลา กระทั่งได้รับรายงานจากสายลับตรงกันทุกสายว่า เป้าหมายการลำเลียงยาเสพติดครั้งนี้จะใช้ผู้ร่วมขบวนการ 4 คน ชุดปฏิบัติการจู่โจม บช.ปส.จึงระดมกำลังตำรวจกว่า 40 คนออกปฏิบัติการในครั้งนี้

โดยชุดปฏิบัติการแรกได้รับมอบหมายให้สะกดรอยตามรถเก๋งฮอนด้า ซิตี้ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน พบ 6070 กรุงเทพมหานคร ตามที่สายลับแจ้งว่าเป็นรถเป้าหมายที่เครือข่ายยาเสพติดจะใช้ขนของ โดยออกจากบ้านย่านรังสิต จ.ปทุมธานี มุ่งหน้าไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านถนนพระราม 2 แต่แก๊งค้ายาก็มีวิธีป้องกันการสะกดรอยตามจากตำรวจ ด้วยการขับรถวนไปวนมาอยู่นาน เพื่อให้ตายใจและเพื่อป้องกันการติดตาม จนชุดปฏิบัติการต้องตรวจสอบข้อมูลกับสายลับ เพื่อยืนยันเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา

กระทั่งแก๊งค้ายาแน่ใจว่าปราศจากการติดตามสะกดรอยจึงเลี้ยวเข้าไปจอดใน ลานจอดรถบนห้างสรรพสินค้า โดยคนขับได้แต่นั่งอยู่ภายในรถไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ผิดธรรมชาติของคนไปห้างสรรพสินค้าทั่วไป เมื่อสายลับแจ้งกลับมาว่าแก๊งค้ายาพร้อมจะส่งมอบยาเสพติดให้ชาวไทยใหญ่และ ชาวต่างชาติแล้ว ชุดปฏิบัติการจึงลงมือจู่โจมเข้าประชิดรถ แล้วแสดงตัวขอตรวจค้น

คนขับรถเป้าหมายคือ นายเสน่ห์ แซ่ลี้ อายุ 35 ปี ชาวไทยใหญ่มีบ้านพักอยู่ใน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เพียงแค่นามสกุลและสัญชาติก็สะดุดหูชุดปฏิบัติการแล้ว จนกระทั่งตรวจค้นในรถเก๋งพบยาไอซ์ 18 กิโลกรัม ยาบ้าอีกกว่า 4 แสนเม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกล่องกระดาษ ที่นำมาจากชายแดนไทย-พม่า สอบสวนเบื้องต้นให้การว่ายังมีเพื่อนร่วมขบวนการอีก 3 คน เป็นชายสองหญิงหนึ่งกำลังรออยู่ โดยหนึ่งในนั้นคือ นายบุญศรี บุญสม ชาวไทยใหญ่ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย วัย 35 ปี ผู้สั่งการคนสำคัญ

ข้อมูลที่ชุดสืบสวนได้มาคือ นายบุญศรีจะนั่งเครื่องบินโดยสารจากภาคเหนือเข้ากรุงเทพฯ มาบัญชาการลำเลียงและประสานงานส่งมอบยาเสพติดด้วยตนเอง โดยจะใช้วิธีนั่งสั่งการอยู่บนรถแท็กซี่สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจสงสัย ขณะเดียวกันก็สกัดเส้นทางการสะกดรอยตามของตำรวจ

เมื่อได้ข้อมูลแล้วชุดปฏิบัติการที่สองก็เริ่มแกะรอยหานายบุญศรี กระทั่งพบเป้าหมายนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ส่วนบุคคลสีเขียวเหลืองเข้าไปใน มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังย่านดินแดง กรุงเทพฯ แต่ดูเหมือนว่านายบุญศรีเองก็เริ่มระแคะระคายว่า เพื่อนร่วมขบวนการจะถูกจับกุม และรู้ตัวว่าตำรวจกำลังตามแกะรอย เขาจึงหักซิมการ์ดมือถือทิ้ง เป็นเวลาเดียวกันกับชุดปฏิบัติการเข้าถึงตัว ตรวจสอบพบเป็นซิมระบบวันทูคอล และเป็นเลขหมายที่ใช้ติดต่อกับนายเสน่ห์ เพื่อนร่วมแก๊งที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้

นายบุญศรีที่อยู่ในอาการลุกลี้ลุกลนให้การวกไปวนวน พอจับใจความได้ว่าพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางซื่อ กรุงเทพฯ ชุดสืบสวนจึงนำตัวไปค้นห้องพักพบตั๋วเครื่องบินระหว่างเชียงราย-สุวรรณภูมิ -เชียงราย อยู่ในลิ้นชักห้องพักจำนวนมาก สอดคล้องกับคำให้การของนายเสน่ห์ เพราะลำพังนายบุญศรีเองก็ไม่ได้มีธุรกิจใดในกรุงเทพฯ จนต้องนั่งเครื่องบินไปกลับอย่างสิ้นเปลืองโดยไร้เหตุผล จึงกลายเป็นหลักฐานประกอบสำนวนได้อย่างดี

ต่อมาไม่นานชุดปฏิบัติการก็สามารถขยายผลไปถึงผู้ร่วมแก๊งอีก 2 คน ซึ่งกำลังขึ้นเครื่องบินจากสุวรรณภูมิไปเชียงราย ประกอบด้วย นายอุดร อินทร อายุ 52 ปี และนางสุวารีย์ ปันวารี อายุ 28 ปี

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook