เขมรส่งกำลังทหารประชิดชายแดนไทย 4 พันนาย

เขมรส่งกำลังทหารประชิดชายแดนไทย 4 พันนาย

เขมรส่งกำลังทหารประชิดชายแดนไทย 4 พันนาย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บรรยากาศชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ยังคงปกติ แต่พบกัมพูชามีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ จัดทหาร 3 กองพันเสริม กำลังกว่า 4 พันนายประชิดชายแดน พร้อมสั่งห้ามทุกคนห้ามพกพาอาวุธภายในค่าย หวั่นปืนลั่นจนทำให้สถานการณ์ตึงเครียด ด้านเลขาธิการหอกาค้าภาคอีสาน ชี้"ฮุน เซน"ตั้ง "อดีตนายก.ทักษิณ"ที่ปรึกษาส่วนตัวไม่เหมาะสม ระบุอาเซียนไปไม่รอดแน่ เหตุเกิดความแตกแยก

(5 พ.ย.) แหล่งข่าวในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รายงานความเคลื่อนไหวบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ว่า หลังทางการไทยใช้มาตรการตอบโต้กัมพูชา ด้วยการเรียกตัวฑูตไทยประจำกัมพูชา กลับประเทศ เพื่อเป็นการตอบโต้ หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาให้การสนับสนุนต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในหลายๆด้าน โดยขณะนี้บรรยากาศทั่วไปบริเวณแนวรบที่มีการตรึงกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นปกติ ไม่มีความตึงเครียดแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพกัมพูชานั้นพบว่า ได้มีความเคลื่อนไหวอย่างลับๆ โดยการเสริมกำลังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยได้เสริมกำลังเข้ามาใหม่ถึง 3 กองพัน ประกอบด้วย กองพันสนับสนุนที่ 42 /1 มี พ.ท.อึม ซาน เป็น ผู้บัญชาการ ดูแลพื้นที่ตั้งแต่ บ้านโกมุย-บ้านตะนบดัช ต.ตะนบดัช อ.ตะเปรียงปราสาท จ.พระวิหาร กองพันสนับสนุนที่ 42/2 มี พ.ท.บุ ชามะ เป็นผู้บัญชาการ และกองพัน สนับสนุนที่ 42/3 มี พ.ท.กอง ยุทธ เป็นผู้บัญชาการ

กำลังทหารทั้ง 3 กองพันนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของ พ.ท.แปน โบย ผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 42 มีกำลังทหารกองพันละ 340 นายรวม 1,200 นาย โดย 2 กองพันหลังนี้จะรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนบริเวณบ้าน สะเตียนกวง ต.ตะนบดัช มาจนถึงพื้นที่ปราสาทพระวิหารสนับสนุนภาระกิจของกองพันรบพิเศษ 911 ที่มาอยู่ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือน มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา โดยมี พล.ท.เฮง บุนเฮียง นายทหารองครักษ์ประจำตัวสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นผู้บัญชาการ

ล่าสุดมีรายงานแจ้งว่าตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.เป็นต้นมากองทัพกัมพูชาได้มีคำสั่งให้ทหารทุกนายเตรียมความพร้อมโดยการให้ขุดหลุมเพาะ ทำบังเกอร์ และคูเรต พร้อมทั้งตัดหญ้าถางต้นไม้เพื่อทำเส้นทางการลาดตระเวน และยังได้เสริมหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ 70 จำนวน 96 นายเข้ามาสมทบอีกด้วย โดยสรุปยอดกำลังพลทหาร และ รปภ.ของฝ่ายกัมพูชาที่สามารถตรวจเช็คได้ตั้งแต่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน มาจนถึงบริเวณพื้นที่พิพาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษมีทั้งหมดประมาณ 4,000 นาย

แหล่งข่าวแจ้งอีกว่า ได้มีคำสั่งเด็ดขาดจากผู้บังคับบัญชาทหารทุกคนห้ามพกพาอาวุธภายในค่ายหากไม่ได้รับคำสั่ง เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีทหารบางนายทำปืนลั่น ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีก และมีคำสั่งห้ามทหารกัมพูชาจับกลุ่มกันเกิน 6 นาย พกพาอาวุธเข้ามาในเขตประเทศไทย เพราะกลัวว่าจะถูกทหารไทยจับตัวและปลดอาวุธประจำกายไป

นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการสภาหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ปรึกษาหอการค้า จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า การที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาประกาศแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านเศรษฐกิจส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน รวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชาว่า กรณีนี้หากถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวสมเด็จฮุน เซน ที่ต้องการให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวสามารถทำได้ แต่กรณีการมาเป็นที่ปรึกษาของประเทศ ส่วนตัวคิดว่าสมเด็จฮุน เซน จะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเนื่องจากระดับประเทศ มีสมาชิกอาเซียนถึง 10 ประเทศที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ ฉะนั้นการกระทำนี้เท่ากับว่าสมเด็จฮุน เซน ในฐานะผู้นำประเทศหนึ่งในสมาชิกอาเซียน กำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะถือเป็นการไม่ให้เกียรติประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน

เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังถือเป็นนักโทษหลบหนีคดี ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา และอาจจะส่งผลต่อความไว้วางใจซึ่งกันและกันของแต่ละประเทศในอาเซียน จนก่อให้เกิดความแตกแยกได้ ส่วนผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น ย่อมมีผลกระทบด้านเศรษฐกิจแน่นอน เพราะการที่สมเด็จฮุนเซน ทำแบบนี้ถือเป็นการประกาศเพื่อเอาชนะไทยในเรื่องของผลประโยชน์ด้านการลงทุน จนถึงขั้นแตกหัก ทั้งเรื่องทรัพยากรธรรมชาติในทะเล เรื่องก๊าซ และจะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งที่อาจจะให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงได้ เหมือนกับเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้

สำหรับท่าทีในกลุ่มนักธุรกิจภาคอีสานโดยสภาหอการค้าภาคอีสานจากเหตุการณ์นี้ อาจะมีการนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นพูดคุยในการประชุมหอการค้าระดับประเทศที่ จ.เชียงใหม่ในปลายเดือนนี้ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ว่า ควรจะทำอย่างไร เพราะมีนักลงทุนของหอการค้าหลายคนลงทุนอยู่ในกัมพูชา

ดังนั้นต้องมาทบทบทวนหากเป็นอย่างนี้แล้วควรจะต้องปรับตัวอย่างไร เพราะการที่สมเด็นฮุนเซนประกาศออกมาอย่างนี้ มีผลกระทบต่อความรู้สึกหลายฝ่าย ส่วนเรื่องที่ทางกัมพูชายกย่องพ.ต.ท.ทักษิณ. เป็นคนเก่ง ฉลาดหลักแหลมด้านเศรษฐกิจตรงนั้นตนคิดว่า วันนี้สมเด็จฮุน เซนคือผู้นำสูงสุดของกัมพูชา ฉะนั้นสมเด็จฮุน เซนยอมรับใคร หรือไม่ยอมรับใคร ก็อยู่ที่ตัวสมเด็จฮุน เซน แต่ไม่ได้ถามความคิดเห็นของประชาชนกัมพูชา ฉะนั้นตนเชื่อว่าถ้าถามนักธุรกิจกัมพูชา ก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน เพราะนักธุรกิจของกัมพูชาส่วนใหญ่ยังจำเป็นที่จะต้องทำธุรกิจกับไทย

" อดีตนายกทักษิณ.ไม่มีอะไร เพราะท่านทำอะไรก็ได้ที่ให้เป็นข่าว และท่านต้องการตรงนี้ เพราะว่าท่านกลัวสังคมจะลืมท่าน เพราะการลืมท่านจะทำให้ท่านกลับมาลำบาก ฉะนั้นจึงต้องการเป็นข่าว ไม่ว่าข่าวอะไรที่ทำให้ดูดี ดูดัง ดูใหญ่โต ท่านก็จะทำ เช่น ส่งข้อความไปให้คนล้านๆคน อย่างการมีทีวี 100 ช่อง ตรงนี้มันเกินมาตรฐานแล้ว แสดงว่าคนๆนี้ต้องการเป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลก อย่างไรก็ตามสิ้นเดือนนี้หอการค้าไทย จะมีการประชุมใหญ่ที่ จ.เชียงใหม่ ก็คงจะมีการหารือกันว่า ถ้าท่าทีของนักธุรกิจซึ่งมันเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะนักธุรกิจไทยไปลงทุนในกัมพูชาจำนวนมากก็ต้องหารือกัน ฉะนั้นทางออกผมคิดว่ามันก็จะต้องเจรจา และต้องทำความเข้าใจ โดยเฉพาะคนที่จะต้องเข้ามาดูแลก็คือนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ซึ่งเป็นคนไทย ต้องเรียกประชุมด่วนทันที ฉะนั้นเรื่องนี้ทางเลขาธิการอาเซียนจะต้องนิ่งดูดายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาเซียนมันจะไม่เดิน เหมือนเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อเกิดความขัดแย้งในกลุ่มที่ไหนของโลกเมื่อดูแล้วจะรุนแรงต้องรีบไประงับเลย เพราะว่าเมื่อมีคนแตกแถวแล้วข้อตกลงต่างๆที่เคยมีมามันจะเชื่อถือกันได้อย่างไร ตรงนี้มันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและไม่เกิดความเป็นเอกภาพในอาเซียน ซึ่งทุกวันนี้เรื่องของไทยกับกัมพูชามีหลายเรื่องและกำลังปะทุอยู่ ดังนั้นคิดว่าเลขาธิการอาเซียควรจะต้องทำบทบาทตรงนี้" นายทวิสันต์ กล่าว

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook