ฮูจัดอันดับโรคอ้วนติดอันดับ 3 รองเอดส์ บุหรี่

ฮูจัดอันดับโรคอ้วนติดอันดับ 3 รองเอดส์ บุหรี่

ฮูจัดอันดับโรคอ้วนติดอันดับ 3 รองเอดส์ บุหรี่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร ร่วมกับเครือข่ายคนไทยไร้พุง และ สสส. แถลงข่าว มหกรรมเดิน-วิ่ง ลดพุงคนกรุงเทพ 

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า สถานการณ์โรคอ้วนของไทยเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ เนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวันมีความเสี่ยง ทั้ง การบริโภคอาหารเกินความจำเป็น มีพฤติกรรมกินหวานเพิ่มขึ้น นำมาสู่สาเหตุการเกิดโรคอ้วน เบาหวาน ไขมัน และความดันเลือดสูง ซึ่งในอนาคตอีก 10-20 ปี รัฐบาลต้องจ่ายค่ารักษาอาการแทรกซ้อนจาก "โรคกินเกิน เป็นเงินมหาศาล สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก ที่ระบุว่า ปัญหาสุขภาพที่เลวร้ายซึ่งเกิดจากพฤติกรรม 3 อันดับแรก คือ 1.พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศนำไปสู่การติดเชื้อเอสไอวี 2.การสูบบุหรี่ที่นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ และ 3.โรคอ้วนที่นำไปสู่โรคเรื้อรังต่าง ๆ

"แนวทางการแก้ปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องทำอย่างจริงจัง คือ 1.รณรงค์ให้รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดโรคต่างๆจากปัญหาโรคอ้วน 2. ควบคุมการโฆษณาอาหารที่พุ่งเป้าไปที่เด็ก 3. พิมพ์คำเตือนบนฉลากอาหารที่มีไขมันสูงและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 4. ห้ามจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูงในโรงเรียน 5.ใช้ระบบภาษีควบคุมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูง" ศ.นพ.ประกิต กล่าว

ศ.นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรมอนามัยคาดว่าอีก 6 ปีข้างหน้า ความชุกของเด็กอ้วน จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 1 ใน 5 ของเด็กก่อนวัยเรียน และ 1 ใน 10 ของเด็กในวัยเรียน หรือมีเด็กอ้วนเพิ่มขึ้นถึง 20 % หากไม่จัดการกับการกินเกินความจำเป็น ข้อมูลของโรงพยาบาลศิริราชปี 2550 เด็กอ้วนอายุ 6-18 ปี จำนวน 125 ราย พบว่า 1 ใน 5 ราย เริ่มมีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ และ 100 ราย เป็นเบาหวาน 3 ราย ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กและวัยรุ่นทั่วไป นอกจากนี้คนอ้วนลงพุงมากกว่าปกติ นอกจากเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานแล้ว ยังเสี่ยงตาย จากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น ที่สำคัญคนอ้วนยังเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดและมีอาการแทรกซ้อนที่ รุนแรงได้ง่าย

ศ.พญ.วรรณี นิธิยานันท์ ประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุงกล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วนและเกิดการตื่นตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งคนไทยป่วยด้วยโรคอ้วนและมีเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆเพิ่มมากขึ้น อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคข้อเสื่อม ปวดหลังปวดเข่า ดังนั้นหลักการ 3 อ คือ ออกกำลังกาย เลือกประเภทอาหาร และควบคุมอารมณ์ จะสามารถช่วยลดโรคลงได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีความรู้ ความเข้าใจ ตั้งใจจริง ทั้งนี้เครือข่ายคนไทยไร้พุง มีเป้าหมายให้สถานศึกษา ที่ทำงาน ชุมชน ทั่วประเทศ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการด้วยตนเองให้ได้อย่างน้อย 50 %

นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า ขณะที่กทม.มีโครงการ "กทม.ไร้พุง" โดยเน้นกลุ่มอายุ 12-60 ปี ที่เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และจะรณรงค์ต่อเนื่องทุกเดือนจนถึง เม.ย. 2553 ใน 13 เขต อาทิ ปทุมวัน วัฒนา ดอนเมือง บางกอกน้อย โดยลงพื้นที่ในชุมชนและโรงเรียนด้วยการออกปฏิบัติการลดพุงในพื้นที่เป้าหมาย เดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งที่ผ่านได้รับการตอบรับและมีจำนวนผู้เข้าร่วมในพื้นที่กทม.ถึง 50,000 คน อย่างไรก็ตามเพื่อลดภาวะอ้วนลงพุง กทม. ร่วมกับ เครือข่ายคนไทยไร้พุง และ สสส. จัดงาน "มหกรรม ลดพุง คนกรุงเทพ ครั้งที่ 1" ที่บริเวณศาลาแปดเหลี่ยม สวนลุมพินีกทม.ในวันเสาร์ที่ 28 พ.ย. 2552 ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ตรวจร่างกายฟรีจากแพทย์สำนักอนามัย กทม. กิจกรรมเดินวิ่งชิงรางวัล ชมการแสดง พร้อมชิมเมนูกินถูกส่วน 2-1-1 ลดอ้วนลงพุง เรียนรู้ฉลากโภชนาการจาก อย. และตอบปัญหา 3 อ ชิงรางวัล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ติดต่อลงทะเบียนล่วงหน้า โทร. 02-7166744 ต่อ 25 หรือ 086-305 4268 และ 084 051 6749

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook