ทุกอย่างจะชัดเจนในวันที่ 8 ธ.ค.

ทุกอย่างจะชัดเจนในวันที่ 8 ธ.ค.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ในวันที่ 8 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ศาลกัมพูชาจะมีคำตัดสินกรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ที่ถูกจับกุมตัว ทีมการเมืองเดลินิวส์ ได้สัมภาษณ์ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ ที่ปัจจุบันยังทำหน้าที่ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่าเป็นกระบวนการชงเอง กินเองหรือไม่

** ทางออกของความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องทำอย่างไร

ต้องเจรจา พูดคุย คือเปิดช่องทางการทูตให้คงอยู่ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมถึงนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ต้องเปลี่ยนทัศนคติ จริง ๆ ถ้าแนะนำให้เปลี่ยน รมว. การต่างประเทศก็จะช่วยได้ในจุดเริ่มต้น เพราะต้องยอมรับว่าคุณกษิตไปต่อว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชามาตั้งแต่เริ่มต้น เขาก็รู้สึกไม่ดี ไม่อยากทำงานร่วมกับ รมว.การต่างประเทศคนนี้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิทธิของเขา แต่นายกฯ ก็ยังไปตั้งคน ๆ นี้เป็น รมว.การต่างประเทศอยู่

ผมว่าการแก้ไขปัญหาต้องดูจากเหตุ ซึ่งสาเหตุแรกก็คือคุณอภิสิทธิ์มีท่าทีต่อกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหารโดย บอกว่าไทยยังสงวนสิทธิทวงคืนปราสาทพระวิหารได้ตลอดชีวิต ซึ่ง ไม่เป็นความจริงเพราะข้อกฎหมายทำไม่ได้เพราะพ้น 10 ปีแล้ว กระทรวงการต่างประเทศเขาบอกชัดว่าสิ้นสุดไปแล้ว สาเหตุที่ 2 กรณี ตั้งคุณกษิต เป็น รมว.การต่างประเทศ และสาเหตุที่ 3 คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบยกตนข่มท่าน หรือเห็นเพื่อนบ้านเป็นเสมือน เครื่องมือที่จะไปกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงท่าทีของรัฐบาลและฝ่ายอำมาตย์ที่ยังมีทัศนคติดูหมิ่นเพื่อน บ้าน แสวงหาประโยชน์ทางการเมืองจากนโยบายกระแสคลั่งชาติ ซึ่งกัมพูชาย่อมไม่แฮปปี้และทำให้เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ผมเข้าใจว่าคุณอภิสิทธิ์เคยด่าเราไว้เยอะ มาวันนี้ท่านก็คงอีหลักอีเหลื่อ จะกลับลำก็ไม่ได้เพราะจะกลายเป็นว่ากลืนน้ำลายตัวเอง ก็เลยทำเป็นว่าเรื่องปราสาทพระวิหาร เรื่องพื้นที่ทับซ้อนให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือเจบีซี เพราะรัฐบาลไม่มีแนวทางใด ๆ แก้ไขปัญหาและสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง วันนี้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อน เราเจรจาบริหารจัดการไม่ดีกว่าหรือ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นก็เลิกแล้วต่อกัน คุณกษิต ที่เคยไปด่าเขาไว้ก็ไปขอโทษเสียและเริ่มทำงานด้วยกันเพราะเราและกัมพูชามีความร่วมมือด้วยกันเยอะแยะ ปีหนึ่ง ๆ เราขายสินค้าให้กัมพูชาเกือบ 60,000 ล้านบาท แต่เราซื้อเขาแค่ 3,000 ล้านบาท

** เชื่อหรือว่าการเปลี่ยนคุณกษิต จะทำให้สถานการณ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้น

สมเด็จฮุนเซนบอกอยู่แล้วว่าทำงานกับคุณอภิสิทธิ์ยากที่สุด พูดแบบภาษาชาวบ้าน เมื่อคนไม่ถูกกัน ไม่ชอบขี้หน้ากันก็ทำงานด้วยกันลำบาก แต่ต้องเปลี่ยนนโยบาย ให้เป็นมิตรมากกว่านี้ด้วย

** รัฐบาลระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือต้นเหตุที่ทำให้เกปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา

รัฐบาลกำลังพยายามจะบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือต้นเหตุเพราะมีการตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ อันนี้เป็นเหมือนฉี่ปนฝน คือเวลาจะฉี่ขี้เกียจไปห้องน้ำก็ฉี่เลย เป็นความพยายาม โยนบาปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ประเด็นปัญหาความเสื่อมทรามของความสัมพันธ์เกิดขึ้นก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ทำให้เสื่อมทรามลง คุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็พูดว่ามันเสื่อมทรามมานานแล้ว มีการตอบโต้กันมากมาย ผมเชื่อว่าประชาชนไม่เชื่ออย่างที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้างเอา พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นต้นเหตุ เพราะประชาชนรู้ว่ารัฐบาลเองเป็นต้นเหตุของความเสื่อมทราม เช่น กรณี ที่นายกรัฐมนตรีประกาศว่าจะยกเลิกเอ็มโอยูพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษากัมพูชาความลับเพราะเป็นคน ไปเริ่มเจรจา ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นคนเริ่มเป็นการบิดเบือนและประหยัดในการให้ข้อมูลต่อประชาชน เอ็มโอยูไม่ได้มีความลับเลยเป็นแค่กลไกในการเจรจาเท่านั้นเนื้อหาสิ่งที่พูดจายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ เอาง่าย ๆ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ นั่งเป็นนายกฯ อยู่ 6 ปี ถ้าจะเอาประโยชน์ทำไมไม่มีความคืบหน้า อยากให้เอาความจริงมาพูดกัน

** กรณีคุณศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกควบคุมตัว ถูกตั้งข้อสงสัยที่มาที่ไป

ข้อเท็จจริงคือเช้าวันหนึ่งคุณแม่ของคุณศิวรักษ์โทรศัพท์มา หาผมบอกว่าอยากจะให้ช่วยเหลือเพราะอยากเดินทางไปเยี่ยมลูกชาย เพราะตั้งแต่ถูกจำคุกมากางเกงในมีอยู่ตัวเดียว เสื้อผ้าไม่มีเปลี่ยน ของใช้ไม่มี สภาพคุกก็ไม่ได้สบาย ผมช่วยได้ผมก็ช่วยก็เท่านั้น การทำงานของผมถ้าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าคุณกษิต สังคมก็ต้องยอมรับ ไม่เช่นนั้นคนทำความดีแล้วได้ความเลวกลับคืนมาก็ไม่อยากมีใครทำความดี และผมไม่ได้ไปแย่งซีน เพราะคุณแม่เขาขอ ถ้าผมทำแล้วดีกว่าโดย ที่สังคมบางส่วนเข้าใจ แต่อาจมีบางคนที่มองทุกอย่างเป็นการเมืองไปหมด ผมก็ยอมรับเพราะสังคมเราแบ่งเป็นสีชัดเจน แต่ยืนยันว่าเจตนาจริง ๆ ของผมคืออยากช่วยเหลือคุณแม่คุณศิวรักษ์ ผมไม่เคยตำหนิกระทรวงการต่างประเทศเพราะผมเคยทำงานมาผมเข้าใจ แต่ต้องตำหนิ นักการเมืองที่อยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ ผมยืนยันชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นกระบวนการแน่นอน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะชัดเจนในวันที่ 8 ธ.ค. เมื่อศาลกัมพูชาตัดสินคดีและคุณศิวรักษ์จะได้พูดความจริงว่า เรื่องราวเป็นมาอย่างไร ไปเอาข้อมูลตามคำสั่งของใครและเอาไปให้ใคร ก็จะได้รู้กันและถ้าคุณศิวรักษ์มีโอกาสเดินทางกลับมาเมืองไทยเขาก็จะได้พูดด้วยตัวเอง พยายามมาบอกว่าเราชงเอง ดื่มเอง ไม่จริงเลยครับ

** การประสานงานให้ความช่วยเหลือของพรรคเพื่อไทยง่ายผิดปกติ จนคนส่วนหนึ่งอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้

ผมทำงานล้วคนก็รักผม ผู้นำในภูมิภาคนี้ก็รู้จักผม และผม ก็มีความจริงใจ เราไม่ชอบด่าแม่ใคร เราก็เลยเป็นที่รัก เราก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่นักการทูตมาก่อนเราก็นอบน้อมถ่อมตัว ตั้งใจทำงานก็มีคนรัก ซึ่งการมีคนรักช่วยให้ประสานงานได้เยอะ สังคมตะวันออกความสัมพันธ์ส่วนตัวช่วยได้เยอะ เพราะความรักดีกว่าความชัง และท่านซกอาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งผมประสานงานด้วยก็ให้ความช่วยเหลือ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย สิ่งที่เราประสานก็แค่ให้แม่ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมลูกชาย เราไม่ได้ไปขอให้เขาช่วยเหลือเรื่องคดีแต่ไม่มีเรื่องการเมืองมีคนบอกว่านายนพดลอยากสร้างผลงาน โธ่!ผมก็เป็นที่รู้จักพอสมควรนะ แต่ผมก็ยอมรับในเสียงวิจารณ์เพราะเราเป็นบุคคลสาธารณะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนและสังคมจะตัดสิน แต่อยากบอกว่าเราทำไม่ได้หวังผลอะไรเลย ผมทำในสิ่งที่ผมทำได้ ถ้าผมอยากหาเสียงผมก็ออกมาบอกว่ารัฐบาลล้มเหลวไปแล้ว แต่ผมไม่เคยพูดทำนองนั้นเลย ผมรู้ว่าสังคมไทยเราช่วยกันไปก่อน และอย่าไปหาเสียงมากเพราะมันน่าหมั่นไส้

** เห็นข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะช่วยจนถึงขั้นขอพระราชทาน อภัยโทษหากมีความผิด

เราก็จะพยายามช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน คนจะว่ายังไงก็ไม่เป็นไร ส่วนจะช่วยได้จนถึงขั้นไหนต้องรอดูผลการตัดสินของศาลเสียก่อน

** ความขัดแย้งครั้งนี้กับครั้งที่เคยเผาสถานทูตไทยในพนมเปญ อันไหนหนักหนาสาหัสกว่ากัน

ครั้งที่มีการเผาสถานทูตหนักหนากว่าแต่เป็นช่วงสั้น ๆ แต่ครั้งนี้หนักน้อยกว่าแต่ซึมลึกและดูเหมือนไม่มีแนวโน้มแก้ไขหรือ มีทางออก และที่น่าเสียใจคือรัฐบาลนั่งทับปัญหาและไม่พยายามหาทางออกด้วย ความขัดแย้งครั้งนี้จึงเป็นเหมือนเป็นโรคมะเร็ง ตอนนั้นแค่ความเข้าใจผิดนิดหนึ่งและฉับพลัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็รีบรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ตอนนี้ไม่มีทางออก ขนาดนายกรัฐมนตรีไปพบกันระหว่างประชุมประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่ประเทศญี่ปุ่นยังไม่คุยกันเลย

ผมว่าสถานการณ์จะดีขึ้นถ้ามีนโยบายที่ริเริ่มสร้างสรรค์มาก กว่าคุณกษิต แต่ถ้ายังไม่ปรับนโยบายและทัศนคติ ไม่เลิกเอาเรื่องชาตินิยมมาเป็นความได้เปรียบทางการเมือง ถึงกัมพูชายกเลิกการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นเพราะรากเหง้าหลายปัญหายังอยู่.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook