ปีทองสินค้าเกษตรขี้นยกแผง
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรในขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้น ขณะที่มาตรการของรัฐบาลช่วยสนับสนุนการผลิตภาคเกษตรมาก ทั้งการประกันรายได้เกษตรกร การส่งเสริมพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีคุณภาพและปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ สศช.คาดการณ์ว่าในปี 53 ราคาสินค้าเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้น 10-20% และทำให้รายได้ของเกษตรกรมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยแต่จะเท่ากับสัดส่วนของราคาสินค้าเกษตรหรือไม่ยังตอบไม่ได้เพราะมีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาคำนวณ
ปัจจุบันราคาหัวมันสำปะหลังสดพุสุดถึง กก.ละ 2.35 บาทแล้ว สูงกว่าราคาที่รัฐบาลประกันไว้ที่ กก.ละ 1.70 บาท เช่นเดียวกับราคายางพาราดิบ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 80 บาทต่อ กก.ส่วนราคาอ้อยก็ปรับเพิ่มสูงกว่าตันละ 1,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่ได้ หักลบค่าความหวานหรือซีซีเอส ขณะที่ราคาข้าวเปลือกเจ้าก็มีราคาสูงกว่าราคาประกันมาก ถึงขนาดที่ว่าชาวนากำลังจับจ้องราคาข้าวเปลือก หอมมะลิเหมือนกับดูราคาทอง ว่าเมื่อใดราคาข้าวหอมมะลิจะเข้าใกล้ที่ตันละ 20,000 บาท เมื่อราคาสินค้าเกษตรปรับสูงขึ้นมากเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยในโครงการประกันรายได้เท่ากับที่คาดการณ์ไว้ที่ 44,000 ล้านบาทแน่นอน ส่วนจะเป็นเท่าใดต้องพิจารณา ในรายละเอียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นมากจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 นี้ ขยายตัวได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ที่ 2.7-3.2% และตั้งปีจะติดลบไม่ถึง 3% แน่นอน รวมทั้งการส่งออกในเดือน ต.ค.ที่ติดลบน้อยลงมากและจะกลายเป็นบวกในเดือน พ.ย. ประกอบกับการ บริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะยอดขายรถยนต์ ที่จะพุ่งสูงขึ้นมาก ในช่วงงานมอ เตอร์เอ็กซ์โป ตัวเลข การท่องเที่ยวที่พบว่าขณะนี้จำนวนผู้โดยสารเครื่องบินเต็มหมด โดยเฉพาะจากยุโรปที่มีมากกว่า 80%
ขณะเดียวกันแรงกดดันเรื่องราคาน้ำมันก็พบว่ามีแนวโน้มดีขึ้นมากเพราะราคาน้ำมันดิบขณะนี้ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนก็มีเสถียรภาพมากขึ้น รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทกิจการห้างร้านกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 3 และต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4.