พบช่องอุทธรณ์ศาลเดินหน้ามาบตาพุด
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลง ผลการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปจัดทำข้อมูล เพิ่มเติมโครงการลงทุนทั้ง 65 โครงการใน พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ระงับการลงทุนมาอย่างละเอียด โดยเฉพาะที่เปิดกิจการไปแล้ว 10 โครงการ มูลค่าลงทุน 29,439 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 โครงการ มูลค่าลงทุน 180,871 ล้านบาท เพื่อจะหาทางช่วยเหลือให้ดำเนินการต่อไปได้ ที่สำคัญเมื่อพิจารณาคำสั่งศาลแล้ว พบว่ามีช่องทางที่น่าจะขออุทธรณ์ต่อศาลเพื่อให้เอกชนเดินหน้าต่อไปได้ โดยกำหนดให้จัดทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 18 ธ.ค. เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาในวันที่ 22 ธ.ค.นี้
ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ย้ำแนวทางที่ให้ส่วนราชการต้องนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปตามขั้นตอนของการออกกฎหมาย การปฏิบัติการตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการจัดทำผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) การจัดทำผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) กระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ขณะที่ขั้นตอนการจัดตั้งองค์กรอิสระยังไม่มีข้อยุติจากคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุด ที่ประชุมมอบหมายให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เร่งประสานงานกับคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อให้ออกประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ ให้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค. นี้ และประสานให้ขั้นตอนการจัดตั้งองค์กรอิสระใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีไปก่อน และจัดทำเป็นกฎหมายในระยะต่อไป
นายพุทธิพงษ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการประเมินความเสียหายของโครงการ เบื้องต้นที่มีความชัดเจนขณะนี้มีมูลค่า ความเสียหายรวมประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นข้อมูลของโครงการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพลังงาน 32 โครงการเท่านั้น โดยไม่รวมความเสียหายเรื่องค่าจ้างแรงงาน ขณะที่ยังมีผลกระทบเรื่องการนำเข้าก๊าซแอลพีจี ผลกระทบข้อตกลงระหว่างประเทศเรื่องสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า บรรดารัฐมนตรีหลายคนในที่ประชุมแสดงความแปลกใจมากที่ตัวแทนจากกระทรวงอุตสม่สามารถชี้แจงรายละเอียดของโครงการที่เปิดกิจการไปแล้ว ทั้งที่เป็นผู้กำกับดูแลโดยตรง ขณะเดียวกันที่ประชุมวันนี้เป็น การพิจารณาเรื่องความคืบหน้าการฟ้องร้องศาลปกครองเพื่อบังคับให้รัฐปฏิบัติตามกฎหมายตามมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ปรากฏว่าทั้งนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม และนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วยรมว. อุตสาหกรรม ไม่ได้มาร่วมประชุมด้วย เพราะติดเดินทางไปโรดโชว์การลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ยุโรป มีเพียงนายโกศล ใจรังษี รองปลัด กระทรวงอุตสาหกรรม มาชี้แจงข้อมูลทั้งหมดเพียงคนเดียว ทำให้การหาแนวทางช่วยเหลือโครงการลงทุนยังไม่มีข้อสรุป
ด้าน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ปัญหาการระงับ 65 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 53 ลดลง 0.5% เนื่องจากทำให้มูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจถึง 44,975 ล้านบาท โดยเฉพาะการว่างงานทันที 40,000 คน หากปัญหาไม่ชัดเจนภายใน 6 เดือน จะว่างงานเพิ่มเป็น 200,000 คน และทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 2,000-7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะผู้ประกอบการที่ถูกระงับโครงการต้องหยุดการนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักร ออกไปก่อน ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งสร้างความ ชัดเจนของกฎเกณฑ์การลงทุนให้เร็ว ไม่เช่นนั้นจะยิ่งสร้างแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่า จนส่งผลกระทบต่อการส่งออกอีก
ทั้งนี้คาดว่าผลกระทบกรณีของมาบตาพุดจะมีอย่างน้อย 6 ด้าน ประกอบด้วย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมหนักของไทย, ทำให้ภาคการผลิตต้องชะงักลงโดยเฉพาะก๊าซแอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม), กระทบต่อการลงทุน การส่งออก การจ้างงาน และบริโภค, รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยลง, ชุมชนและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นแต่เศรษฐกิจภาคตะวันออกชะงัก และกระทบต่อสถาบันการเงินและตลาดทุน โดยในปี 53 ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยจะปรับ ลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 2-3% เหลือ 1.2-2.2% ซึ่งมีผลกระทบจากมาบตาพุด 0.5% วิกฤติหนี้สินดูไบและการลดค่าเงินของ เวียดนาม 0.3% ซึ่งเรื่องของมาบตาพุดจะหนักสุด
นายประสาน ตันประเสริฐ ประธานคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ปัญหามาบตาพุดคงไม่ส่งผลถึงขั้นให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านแทน แต่ยอมรับว่าอาจมีบางรายที่ต้องลดกำลังการผลิตลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ขณะเดียวกัน ในปี 53 คาดว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จะขายพื้นที่ในนิคมทั่วประเทศได้ 2,000 ไร่ สูงกว่าปีนี้ที่คาดว่าขายได้ 1,400 ไร่
ขณะที่ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องควรร่วมมือกันเร่งแก้ปัญหาการถูกระงับโครงการลงทุนในมาบตาพุดให้มีความชัจนและให้ปัญหาจบได้เร็ว เพื่อ เรียกความมั่นใจการลงทุนในอุตสาหกรรมกลับคืนมา โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบทั้งกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงาน เพราะเชื่อว่าหากปัญหาดังกล่าวไม่มีความชัดเจนโดยเร็ว อาจทำให้เกิดการย้ายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ทำให้ไทยเสียโอกาสในการขยายธุรกิจ รวมทั้งกระทบการ ลงทุนรวม เช่น การจ้างงาน และเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น
นายเดชรัตน์ สุขกำเนิด คณะกรรม การ 4 ฝ่ายฯ จากภาควิชาการ เปิดเผยภายหลังการประชุมที่บ้านพิษณุโลกว่า ที่ประชุมได้หารือถึงกรณีความห่วงใยของนายกฯ และ ครม. เศรษฐกิจ ถึงการเร่งแก้ปัญหามาบตาพุด ที่ประชุมจึงเห็นควรจะเร่งดำเนินการทุกอย่างให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้าไม่เกินวันที่ 25 ธ.ค.นี้ โดยในวันนี้ได้ข้อสรุปว่าจะเสนอให้มีการออกระเบียบสำนักนายกฯ ในเรื่องการจัดตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนหลักในเรื่องการทำรายงานทั้งอีไอเอ, เอชไอเอ และ การรับฟังความคิดเห็น จะออกเป็นประกาศหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติของกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งเชื่อว่าการแยกออกเป็น 2 ส่วน จะไม่มีปัญหา และทั้งหมดจะเริ่มใช้ในพื้นที่มาบตาพุดก่อน
ด้าน นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกมาเรียกร้องให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในโครงการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีสิ่งแวดล้อมของชุมชนมาบตาพุด ควรน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันที โดยไม่บิดพลิ้วและขอให้หยุดการเผยแพร่ข่าวในลักษณะที่ว่าคำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน ไม่เช่นนั้นสภาทนายความ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจในการฟ้องร้องคดีของโจทก์ 43 ราย จะยื่นคำร้องต่อศาลเรื่องการละเมิดศาล และหน่วยงานภาครัฐที่ถูกฟ้องร้องคดีทั้ง 8 ราย ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล หากล่าช้าเกินสมควรก็จำเป็นต้องออกคำบังคับของศาลให้ปฏิบัติตามโดยเร็ว และรัฐบาลต้องเร่งออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตามมาตรา 61 ของรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องรอผลการศึกษาอีกแล้ว แต่ควรเร่งปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองโดยเร็ว ด้วยการสั่งการให้ 8 หน่วยงานปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ.