สั่งประหาร2เสธ.พ.อ.-พ.ท.ร่วมแก๊งค้ายาบ้า

สั่งประหาร2เสธ.พ.อ.-พ.ท.ร่วมแก๊งค้ายาบ้า

สั่งประหาร2เสธ.พ.อ.-พ.ท.ร่วมแก๊งค้ายาบ้า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปรานีลดโทษให้พันโทคุกตลอดชีวิต ราชทัณฑ์เข้มเพิ่มการจู่โจมค้นเรือนจำ

ศาลพิพากษาประหารชีวิต เสธ.เอ้-พ.อ.พิสิษฐ์ และเสธ.หยวก-พ.ท.สุรยุต ฐานสมคบกันผลิตและค้ายาบ้า หลังตำรวจบุกทลายแหล่งผลิตยาบ้ามูลค่ากว่า 40 ล้าน ได้ในปทุมธานี-แปดริ้ว ศาลระบุแม้ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าร่วมกระทำผิด แต่พยานแวดล้อมต่าง ๆ ให้การสอดคล้อง-มีน้ำหนัก โดยเฉพาะนักค้ายาดัง เกาไช้หลุน ให้การมัดแน่น แต่ยังปรานีเสธ.หยวกที่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่พ่อกับทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์ ด้านอธิบดีราชทัณฑ์สั่งคุกใหญ่เพิ่มมาตรการจู่โจมตรวจค้น พร้อมเร่งจัดทำฐานข้อมูลนักโทษ เพื่อขยายผลสอบสวนจับกุมยกแก๊ง

ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 16 ธ.ค. ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 3 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.อ.พิสิษฐ์ หรือกฤตนัย หรือภัทระ หรือธีรวุฒิ อมรวิสัยสรเดช หรือ เสธ.เอ้ และ พ.ท.สุรยุต สังข์เทพ หรือ เสธ.หยวก สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานสมคบ กันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้กระทำความผิดตามที่สมคบกันแล้ว ตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปราม ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรค 2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฟ้องโจทก์ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า

เมื่อประมาณปี 40 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองกับ นายประเสริฐ สินบัณฑิต กับพวกรวม 3 คน ที่ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต และพวกที่ยังหลบหนี ได้สมคบกันมีเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้าชนิดผงน้ำหนัก 23,784 กรัม ประมาณ 23.7 กก.เศษ ราคาประมาณ 40 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์การผลิตยาบ้า รวม 116 รายการ กระทั่งวันที่ 8 พ.ย. 40 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายประเสริฐ กับพวกได้ พร้อมกับยาบ้าและของกลางจำนวนมาก ที่บ้านเลขที่ 316 ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต ส่งพนัก งานสอบสวน บช.ปส.ดำเนินคดี ต่อมาจำเลยทั้งสองได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน บช.ปส. พร้อมให้การปฏิเสธโดยตลอด

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า โจทก์มีนายเศรษฐนันท์ สิริจิระสุข หรือเกาไช้หลุน เครือข่ายยาบ้าของนาย สุรชัย เงินทองฟู หรือบังรอน นักค้ายาเสพติดระดับโลก และเครือข่ายยาบ้าที่ตกเป็นจำเลยคดีค้ายาเสพติด ที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 สมคบกันโดยร่วมกับตนผลิตยาเสพติด ที่หมู่บ้านกฤษดานคร 19 จ.ปทุม ธานี และที่บ้านพักของบิดามารดาภรรยาของนายเศรษฐนันท์ อ.สนามชัยเขต ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดยาบ้าพร้อมอุปกรณ์จำนวนมาก

โดยจำเลยที่ 2 มีหน้าที่หาน้ำยาเคมี เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งนำรถยนต์ของทางราชการมาขนย้ายยาเสพติด นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเคยให้ความช่วยเหลือนายเศรษฐนันท์ คดียาบ้าที่ จ.ชลบุรี โดยให้บิดาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นคนเจรจาต่อรองกับนายตำรวจ อีกทั้งโจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส.ที่เดินทางไปรับตัวนายเศรษฐนันท์ที่ประเทศไต้หวัน เบิกความยืนยันว่านายเศรษฐนันท์ให้การรับสารภาพว่า เคยนัดจำเลยทั้งสองกับเพื่อนชาวฮ่องกงไปวางแผนการผลิตและค้ายาบ้าหลายครั้ง ที่ห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว และรามอินทรา โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ และความสัมพันธ์ของนายเศรษฐนันท์ กับจำเลยทั้งสอง โดยเชื่อมโยงสอดคล้องกัน และผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 เบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ในการค้ายาเสพติด

ศาลเห็นว่าแม้นายเศรษฐนันท์ จะเป็นผู้ร่วมกระทำผิด แต่เมื่อการผลิตและค้ายากระทำเป็นขบวนการ และมีผู้มีอิทธิพล เข้ามาเกี่ยวข้องก็ย่อมมีการปกปิด ซึ่งหาก ไม่ได้ร่วมในกระบวนการย่อมจะไม่รู้ถึงรายละเอียด ดังนั้นคำให้การของนายเศรษฐนันท์ จึงถือเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ได้ขณะที่นายเศรษฐนันท์ก็ถูกศาลจังหวัดฉะเชิงเทราพิพากษา คดีถึงที่สุดเมื่อปี 51 ให้จำคุกตลอดชีวิต ดังนั้นหากจะเป็นคำซัดทอดก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อนายเศรษฐนันท์ ทั้งพฤติ การณ์แห่งคดีจะไม่สามารถระบุวันที่ชัดเจนได้ แต่พยานระบุเนื้อหาสาระสำคัญของคดีที่ยากจะปรุงแต่งให้จำเลยทั้งสองต้องรับโทษ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่านายเศรษฐนันท์ร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำความผิด

นอกจากนี้โจทก์ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ซึ่งแนะนำให้นายเศรษฐ นันท์ รู้จักกับจำเลยที่ 1 ก็ยังเบิกความถึงความสัมพันธ์ของพวกจำเลย ซึ่งจำเลยที่ 1 สามารถให้คุณให้โทษได้ แต่พยานก็เลือกที่จะเบิกความไปตามจริง รวมทั้งพยานโจทก์ยังมีแม่บ้านหมู่บ้านกฤษดานคร 19 เบิกความสนับสนุนว่า ได้เข้าไปทำความสะอาดบ้านเช่าที่จำเลยทั้งสองเช่าไว้ พบว่ามีการใช้กระดาษ และผ้าม่านปิดช่องกระจกหน้าต่าง ประตูอย่างมิดชิด และพบคราบยาเสพติดสีส้มสีขาวจำนวนมาก

เมื่อพิจารณาพยานโจทก์ทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้สืบสวนสอบสวนคดีนี้ นอกเหนือจากการรับฟังคำให้การของนายเศรษฐนันท์ รวมทั้งความสัมพันธ์กับนายเศรษฐนันท์ แล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับนายเศรษฐนันท์มานาน แม้โจทก์จะไม่มีพยาน ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองครอบครองยาเสพติด ดังกล่าวก็ตาม แต่จากพยานแวดล้อมก็เพียงพอได้ว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันค้ายาเสพติดตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นไม่มีน้ำหนักที่จะมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองกระทำ ผิดตามฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรม ผิดกฎหมายหลายบท ฐานร่วมกันผลิตยาเสพ ติดให้โทษประเภท 1 ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 มีประโยชน์บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟัง คำพิพากษา พ.อ.พิสิษฐ์ หรือเสธ.เอ้ ถึง กับหน้าเปลี่ยนสี และส่ายศีรษะกับทนายความ จนบิดาและทนายความต้องเข้ามา ตบไหล่พูดปลอบใจ ว่าคดียังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้

ทางด้านนายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ตนได้มอบ นโยบายไปยังผู้บัญชาการเรือนจำทั่วประเทศ ให้เน้นหนักในการปราบปรามยาเสพติดในเรือนจำ โดยกำชับให้วางมาตรการป้องกันการ ลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปใช้สั่งซื้อขายยาเสพติดจากในเรือนจำ ซึ่งเรือนจำความมั่นคงสูงที่ควบคุมตัวผู้ต้องขังรายสำคัญและ ผู้ต้องขังคดียาเสพติด ต้องจู่โจมตรวจค้นให้มากขึ้น

ในส่วนของกรมราชทัณฑ์จะสนับ สนุนด้านการติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตรวจจับสิ่งของต้องห้าม และบุคคลที่เข้าออกภายในบริเวณเรือนจำ รวมถึงอุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในช่วงต้นปี 2553 นี้ อย่างไร ก็ตามเพื่อประโยชน์ในการขยายผลสอบสวนถึงเครือข่ายผู้กระทำความผิด กรมราชทัณฑ์จะจัดทำฐานข้อมูลและทะเบียนประวัติ นักโทษทุกราย แบ่งแยกเป็นรายคดีอย่างละเอียด สำหรับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หากพบว่ามีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำ สิ่งของต้องห้ามตามระเบียบเรือนจำส่งเข้าไปให้นักโทษ จะถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและอาญาขั้นเด็ดขาด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook