เล็งขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ

หวั่นเอเชียฟองสบู่แตก

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การดำเนินนโยบายการเงินในปี 53 จะเน้นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจหากเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จากปัญหาราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแรง นอกจากนี้จะดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในกรอบที่วางไว้คือระดับ 0.5-3% ขณะที่ในปี 52 ให้น้ำหนักการประคับประคองภาวะเศรษฐกิจจึงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย

ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้น ดังนั้นน้ำหนักของ การทำงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากปีนี้ที่ เน้นดูแลเศรษฐกิจทำให้ ธปท. ต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ส่วนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใดนั้น ขึ้นกับการพิจารณาของคณะ กรรการนโยบายการเงิน (กนง.) เพราะต้องดูปัจจัยหลายอย่างประกอบการพิจารณาตัด สินใจ

ทั้งนี้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่หรือในภูมิภาคเอเชีย จะมีศักยภาพการเติบโตดีกว่าในกลุ่มประเทศอื่น ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศ ไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น และส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกันเป็นห่วงว่าปัญหาของกลุ่มเอเชียจะเปลี่ยนทิศทางจากการฟื้นตัวเป็นเรื่องเงินเฟ้อ เพราะหาก ราคาสินค้า และสินทรัพย์ต่าง ๆ สูงขึ้นมากทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในช่วงที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำมาก ๆ

สำหรับปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยยังเป็นเรื่องความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐ กิจโลกและเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศจี 3 คือสหรัฐ ญี่ปุ่นและยุโรปที่อาจฟื้ตัวไม่เข้มแข็ง รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศจะทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ รวมถึงการชะลอโครงการที่มาบ ตาพุดจังหวัดระยอง 65 โครงการอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนในปีหน้า โดยเห็นว่าปัญหาที่มาบตาพุดกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมรายได้ในประเทศหรือจีดีพีเพียง 0.2% และถ้ายืดเยื้อไปจนถึงปี 53 จะกระทบจีดีพีอีก 0.3% แต่ถ้าโครงการไม่ได้ข้อยุติจะกระทบจีดีพีมากกว่านี้หรือไม่นั้นต้องมีการประเมินกันอีกครั้ง ซึ่งเห็นว่าหากปัญหาที่เกิดขึ้นยืดเยื้อนานเกินไปจะกระทบความเชื่อมั่นและการลงทุนในอนาคต.