ปตท.ยื่นศาลวินิจฉัยโครงการเกิดก่อนรธน.50

ปตท.ยื่นศาลวินิจฉัยโครงการเกิดก่อนรธน.50

ปตท.ยื่นศาลวินิจฉัยโครงการเกิดก่อนรธน.50
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปตท.เตรียมยื่นศาลปกครองกลางวินิจฉัย 9 โครงการ มาบตาพุด เกิดก่อนรัฐธรรมนูญปี"50 ตามรอย สยามยามาโตะ

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้า บริษัทในกลุ่ม ปตท. จะมีการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอคำวินิจฉัยว่า จะให้เดินหน้าโครงการต่อได้หรือไม่ สำหรับ 9 โครงการซึ่งเป็นกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีมีมติยื่นเรื่องให้ศาลปกครองพิจารณา ซึ่ง ปตท. มีความหวังในแง่ดี หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ บริษัทเหล็กสยามยามาโตะ เดินหน้าได้ เพราะโครงการเหล่านี้บางส่วนมีหลักเกณฑ์เดียวกันคือ ได้มีการอนุมัติผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลบังคับใช้

สำหรับ 9 โครงการ ประกอบด้วย โรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 - โครงการท่อส่งก๊าซฯ ไปยังบริษัทในกลุ่มของ ปตท. โครงการปรับปรุงโรงผลิตโอเลฟินส์(ก่อสร้างเตาแครกกิ้งสำรอง) 2 โครงการ โครงการขยายกำลังผลิตพีอี 50,000 ตัน ของ ปตท.เคมิคอล โครงการส่วนขยาย BPEX (เม็ดพลาสติกความหนาแน่นสูง HDPE) -โครงการการติดตั้งหน่วยผลิต Compound Production Unit ของ BPEX ของ บริษัท บางกอกโพลีเอททิลีน โครงการผลิตเอทานอลเอมีนของบริษัทไทยเอทานอลเอมีน และโครงการการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการผลิตสารฟีนอล ของ พีทีทีฟีนอล

ส่วนแผนควบรวม 4 กิจการในกลุ่ม คือ ไออาร์พีซี ไทยออยล์ พีทีทีเออาร์ และปตท.เคมิคอล ได้ในไตรมาสแรก ปี 2553 หลังกรณีปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย และคาดว่ารายได้ปีหน้าจะเติบโตร้อยละ 20 ขณะที่ปีนี้หดตัวร้อยละ 20

"ยังไม่สามารถบอกได้ว่า การควบรวมกิจการจะออกมาในรูปใด แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีนักวิเคราะห์ออกมาระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่พีทีทีเออาร์จะควบรวมกับไออาร์พีซี ส่วนไทยออยล์ และปตท. เคมิคอล ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม ซึ่งขณะนี้ ปตท.จะดูให้ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย"

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลังการควบรวมกิจการแล้วจะก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง เพราะแนวโน้มมาร์จิ้นหรือกำไรส่วนต่างของธุรกิจทั้งปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันในปี 2553 จะแคบลง ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังผลิตโรงใหม่ ๆในโลกนี้มีเพิ่มขึ้น การแข่งขันสูง

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2553 ปตท. คาดว่า จะมีกำไรและรายได้ดีขึ้นกว่าปีนี้ เพราะกำลังผลิตของบริษัทลูกโรงใหม่ ๆ เริ่มเห็นเต็มที่ประกอบกับราคาน้ำมันแพงขึ้น โดยคาดว่าจะเฉลี่ย 70-80 ดอลลาร์บาร์เรล จึงคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 20% โดยในส่วนนี้ได้บวกรวมปัญหามาบตาพุดไปแล้ว ส่วนรายได้ปีนี้จะลดลง 20% แต่มีกำไรใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook