รมว.แรงงานวางยุทธศาสตร์การทำงานปี53เป็นของขวัญปีใหม่ผู้ใช้แรงงาน

รมว.แรงงานวางยุทธศาสตร์การทำงานปี53เป็นของขวัญปีใหม่ผู้ใช้แรงงาน

รมว.แรงงานวางยุทธศาสตร์การทำงานปี53เป็นของขวัญปีใหม่ผู้ใช้แรงงาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รมว.แรงงานวางยุทธศาสตร์การทำงานปี 53 เป็นของขวัญปีใหม่ผู้ใช้แรงงาน เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงาน มีทักษะ-รายได้สูง น้อมนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทิศทางหลักในการบริหารงาน เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนแรงงานปลอดภัย-สุขภาพดี เป็นปีแห่งการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง นำแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคม

นายพงศักดิ์ เปล่งแสง โฆษกกระทรวงแรงงานฝ่ายการเมือง ได้กล่าวว่า จากที่สวนดุสิตโพลสำรวจความคิดเห็นของคนไทยช่วงปีใหม่ 2553 ถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมไทย พบว่าร้อยละ 32.27 ระบุว่า การมีอาชีพ และรายได้ที่มั่นคง ขณะเดียวกันมีคำถามว่าคิดว่าเรื่องใดที่จะทำให้ความสุขปีใหม่ลดลง มีถึง 2 คำตอบใน 10 อันดับแรก คือ ปัญหาเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายรับไม่พอกับรายจ่าย และปัญหาการว่างงานซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงแรงงานโดยตรง

ดังนั้น นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงวางยุทธศาสตร์การทำงานในปี 2553 โดยนโยบายและกิจกรรมหลักในหลาย ๆ ด้านคือ 1.การกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพราะจะทำให้ผลผลิตสูงขึ้น รายได้สูงขึ้น ผู้ใช้แรงงานที่มีทักษะฝีมือแรงงานก็มีรายได้สูงขึ้น รูปธรรมคือการแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน การปรับศักยภาพสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานและศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน ตลอดทั้งหลักสูตรฝึกอบรมให้สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดแรงงาน โดยใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานประกาศให้เป็นปีแห่งการพัฒนาฝีมือแรงงาน 2.ส่งเสริมสนับสนุนงานทางด้านความรับผิดชอบทางสังคม หรือ CSR : Cooperate Social Responsibility ให้สถานประกอบการกว่า 400,000 แห่งปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มจำนวนสถานประกอบการที่ได้รับ มรท.8001-2546 เพิ่มจำนวนสถานประกอบการแรงงานสัมพันธ์ดีเด่น เพิ่มจำนวนสถานประกอบการดีเด่นทางด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนด้านอื่น ๆ

3.ให้การสนับสนุนส่งเสริมแรงงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ (Generation Y) ซึ่งเป็นคนมีความสามารถทางเทคโนโลยี ความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (long life learning) และมีความมั่นใจในตนเอง ตลอดทั้งมุ่งให้ความสำคัญกับกลุ่มคนเก่ง (talent) อีกด้วย 4.น้อมนำพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 มาเป็นทิศทางหลักในการบริหารงานกระทรวงแรงงาน และการบริหารแรงงานสัมพันธ์ในเชิงรุก ให้เกิดแรงงานสัมพันธ์ที่ดี มีสันติสุขอย่างยั่งยืน แก่สถานประกอบการ 400,000 แห่ง 5.ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานประกอบการและสหภาพแรงงานน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ โดยการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการและสหภาพแรงงานเกิดขึ้น

6.เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนแรงงานปลอดภัยและสุขภาพดี โดยเร่งรัดกฎหมายความปลอดภัยให้ผ่านรัฐสภา รณรงค์การป้องกันสุขภาพและความปลอดภัยผู้ประกันตนและแรงงาน ให้เกิด "วัฒนธรรมสุขภาพและความปลอดภัยในการใช้ชีวิตและการทำงาน" 7.เป็นปีแห่งการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง โดยเฉพาะสัญชาติพม่า เพื่อการจัดระบบให้มีความเหมาะสมและความมั่นคง 8.เป็นปีแห่งการนำแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมด้วยการให้ความคุ้มครอง 5 กรณี จากประมาณการเบื้องต้น 900,000 คน จาก 2,400,000 คน 9.เป็นปีแห่งการขจัดการหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศทุกรูปแบบ และส่งเสริมการไปทำงานอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และ 10.เป็นปีแห่งการก้าวไปข้างหน้าด้วยการทำงานที่มีคุณค่า และการผลักดันอนุสัญญาแรงงานระหว่างประทศ ฉบับที่ 87 และ 98

ดังนั้น ในปี 2553 จึงเป็นปีแห่งการทำงานที่ต่อยอดองค์ความรู้ของพันธกิจประจำและนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างความมั่นคงในหลากหลายมิติให้กับกระทรวงแรงงาน นายจ้าง และผู้ใช้แรงงานทั้ง 37 ล้านคนอย่างยั่งยืนตลอดไป.

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook