ส.ว.ยื่น ปปช.สอบ''บิ๊กแอ้ด''แจ้งเท็จทรัพย์สิน

ส.ว.ยื่น ปปช.สอบ''บิ๊กแอ้ด''แจ้งเท็จทรัพย์สิน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ถือครองที่ดินเขายายเที่ยงแดงถามสปิริตองคมนตรี

ม็อบเสื้อแดง ยกพลบุกทำเนียบองคมนตรี ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถามหาจริยธรรม ปัญหาปมเผือกร้อน บุกรุกพื้นที่ เขายายเที่ยง-เขาสอยดาว โวลั่นมีหลักฐานเด็ด เปิดโปงขบวนการ ทำนิติกรรมอำพรางผ่านทาง พันเอก ขณะที่ เรืองไกร ส.ว.จอมสอย โดดผสมโรงเล่นงานด้วย ไล่บี้กดดัน สุรยุทธ์ ยื่นข้อมูลให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ ส่อแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ สมัยดำรงตำแหน่งนายกฯ วอนพิจารณาตัวเองก่อนกรมป่าไม้ตัดสิน ส่วน ผบช.น. ขู่เล่นงานม็อบเสื้อแดง ไฟเขียวทุกพื้นที่ หากพบผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมาย สั่งดำเนินคดีทันที ด้านศาลอาญารับฟ้องคดี จตุพร หมิ่นประมาท กล่าวหา อภิสิทธิ์ เป็นอาชญากรสั่งทหารฆ่าประชาชน ช่วงเหตุ การณ์สงกรานต์เลือด

ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ม.ค. นายวีระ มุสิกพงศ์ พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นพ.เหวง โตจิราการ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายวิภูแถลง พัฒนภูไท และแนวร่วมเสื้อแดงกว่า 200 คน เดินทางมาที่ทำเนียบองคมนตรี ถนนสราญรมย์ เขตพระนคร เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงองคมนตรีทั้งคณะ กรณีที่มีการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน พร้อมทั้งแนบเอกสารสรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการถือครองที่ดินบริเวณเขายายเที่ยง จำนวน 9 หน้าและเอกสารเรื่องสนามกอล์ฟสอยดาว ไฮด์แลนด์ จำนวน 28 หน้า

นายวีระ เป็นตัวแทนอ่านจดหมายเปิดผนึกตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน ตั้งแต่การยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 เป็นต้นมา สังคมไทยก็ไร้หลักนิติรัฐ นิติธรรม ประชาชนต่างรู้สึกถึงความอยุติธรรม ทำให้เกิดความคับแค้นใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน ทั้งกรณีบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติเขายายเที่ยง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และปัญหากลุ่มบุคคลบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ เขาสอยดาว ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ทั้ง 2 เรื่องมีการอภิปรายและแจ้งความดำเนินคดี แต่ก็ไม่คืบหน้า

ความล่าช้าของการดำเนินการตามกฎหมายทั้ง 2 คดี เกิดจากความเกรงกลัวต่ออำนาจและอิทธิพลของผู้กระทำความผิดและผู้สนับสนุน ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในบ้านเมือง อันเป็นอุปสรรคต่อการประศาสน์ความยุติธรรมอย่างเสมอภาค และก่อให้เกิดปัญหาความแตกแยกในหมู่ประชาชน ขณะนี้ พวกข้าพเจ้าจึงต้องการให้องคมนตรีได้รับทราบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ไม่ได้มีอคติ กับองคมนตรีท่านใดโดยเฉพาะ แต่เมื่อองคมนตรีท่านใดกระทำการไม่เหมาะสมก็ควรจะได้พิจารณาตัวเองรับผิดชอบเป็นการเฉพาะตัวเพื่อรักษาสถาบันองคมนตรีให้มีความโปร่งใส

จากนั้นนายวีระ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวผ่านทาง นายฉัตรสุวรรณ วิทยะวานิชกุล เจ้าหน้าที่กองนิติการ สำนักราช เลขาธิการ เป็นผู้รับหนังสือเพื่อสำเนาแจ้งให้กับองคมนตรีต่อไป หลังจากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงจึงได้แยกย้ายสลายตัวโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ทั้งนี้นายญัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช. กล่าวว่า ในวันที่ 19 ม.ค. เวลา 10.00 น. จะแถลงข่าว พร้อมนำหลักฐานคำยืนยันของนายนพดล พิทักษ์วานิช เจ้าของที่ดินบนเขายายเที่ยง ซึ่งระบุว่าเรื่องนี้มีการทำนิติกรรมอำพรางผ่านนายทหารยศ พันเอก คนหนึ่ง ดังนั้น นปช.จะแจ้งข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ

ด้านพล.ต.ต.ปิยะ อุฑาโย โฆษก บช.น. กล่าวถึงการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยการชุมนุมของกลุ่มนปช.ที่จะกดดันรัฐบาลตามที่ต่าง ๆ แบบดาวกระจายว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.สั่งการทุกหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้อง กับการปฏิบัติตามแผน กรกฎ 52 และ ธันวา 52 อย่างเคร่งครัด หากผู้ชุมนุมไปที่ใดเป็นเขตรับผิดชอบของท้องที่ใด ให้นายตำรวจระดับ ผกก.หัวหน้าสถานีตำรวจนครบาล นั้น ๆ รับผิดชอบในการจัดกำลังตำรวจเข้าไปดูแล หากผู้ชุมนุมมีมากไม่สามารถดูแลได้ให้ร้องขอกำลังสนับสนุนจากกองบังคับการต้นสังกัดทันที พร้อมรายงานสถานการ์มายังศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสั่งการของ บช.น.เป็นระยะ เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมกำลังสนับสนุนไว้ หากพบมีการกระทำผิดกฎหมายให้จับกุมดำเนินคดีทันที

ส่วนที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เจ้าของฉายา ส.ว.จอม สอย กล่าวว่าได้ส่งเรื่องต่อ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย อาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 โดยมีข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ผ่านมาทำให้เข้าใจว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ยังคงครอบครองที่ดินที่ตั้งอยู่บนเขายายเที่ยง พร้อมสิ่งปลูกสร้างอยู่ด้วย แต่จากการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตอนเข้ารับตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 49 และตอนเข้ารับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย พล.อ. สุรยุทธ์ ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไว้ต่อ ป.ป.ช. ในส่วนที่เป็นที่ดินของตนเองเอาไว้ 9 แปลงมูลค่า 17,880,250 บาท ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง

ส่วนคู่สมรส คือพ.อ.หญิง คุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ได้แสดงทรัพย์สินส่วนที่เป็นที่ดินเอาไว้ 3 แปลงมูลค่า 7,000,000 บาท มีสิ่งปลูกสร้าง 3 หลังมูลค่ารวม 10,000,000 บาท โดยคู่สมรสได้แสดงว่ามีที่ดิน (ภ.บ.ท.5) จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 21-0-0 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ภ.บ.ท. 5 จำนวนหนึ่งหลัง เลขที่ 10 หมู่ 6 ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นคร ราชสีมา โดยไม่ได้แยกราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแปลง ภ.บ.ท. 5 เอาไว้

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ต่อมาพล.อ.สุรยุทธ์ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินตอนพ้นจากตำแหน่ง มีข้อสนใจคือ ส่วนบัญชีทรัพย์สินที่เป็นสิทธิและสัมปทานนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ แจ้งว่าคู่สมรสมีทรัพย์สินที่เป็นสิทธิอยู่ 1 รายการ มูลค่า 700,000 บาท โดยอธิบายว่าเป็นการซื้อสิทธิในการทำประโยชน์บนที่ดินว่างเปล่า และปลูกต้นไม้ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื้อที่ 21 ไร่ โดยได้จ่ายเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ตามกฎหมายทุกปีตลอดมา แต่มีการหมายเหตุว่า ที่ดินแปลงนี้มิได้ใช้ทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เช่น รีสอร์ท หรือร้านอาหาร ฯลฯ แต่อย่างใด

ดังนั้นแสดงว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ย่อมต้องรู้ว่าที่ดินดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินของตนเอง ที่จะนำมาตีมูลค่าแล้วนำมาแสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินของตนได้ การนำที่ดินแปลงดังกล่าวมายื่นแสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ทั้งในประเภทที่ดินหรือในประเภทสิทธิและ สัมปทานในแต่ละคราว โดยมีการแสดงมูลค่าของทรัพย์สินด้วยนั้น อาจเป็นการแจ้งบัญชีทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จได้ เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในประเภท และมูลค่าทรัพย์สินตามมาได้ การกระทำดังกล่าวอาจเข้าลักษณะการกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 263 วรรคหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่จะเสนอเรื่องให้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยต่อไป

อย่างไรก็ตามหากศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่ามีความผิด จะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่กรณีของพล.อ.สุรยุทธ์ ปัจจุบันดำรงตำ แหน่งองคมนตรี อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 15 และในหมวด 4 มาตรา 71 ดังนั้นกรณีมีการบุกรุกที่ต้องห้ามอาจขัดคุณ สมบัติการดำรงตำแหน่งองคมนตรี เรื่องนี้จึงอยู่ที่ดุลพินิจของ พล.อ.สุรยุทธ์ เองว่าท่านควรจะอยู่ในตำแหน่งหรือพิจารณาตัวเอง ไม่ต้องรอให้กรมป่าไม้มาชี้ว่าผิดหรือไม่

ขณะเดียวกัน ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ คดีหมายเลขดำ อ.4176/ 2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 11-17 ต.ค. 52 จำเลยได้ปราศรัยในการชุมนุมของ นปช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและทำเนียบรัฐบาลว่า โจทก์ยึดพระราชอำนาจ ไม่ยอมเสนอให้มีการถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าโจทก์เป็นฆาตกรเป็นอาชญากร สั่งทหารฆ่าประชาชนและสร้างสถานการณ์การจลาจลที่บริเวณ สามเหลี่ยมดินแดง นางเลิ้ง และ ถนนเพชรบุรี ซอย 5, ซอย 7 เหตุเกิดช่วงเดือน เม.ย. 52 และเหตุการณ์การชุมนุมที่พัทยา จ.ชลบุรี โดยวันนี้นายอภิสิทธิ์ เข้าเบิกความยืนยันว่า ไม่เคยแสดงความคิดเห็นว่าจำเลยและกลุ่มคนเสื้อแดงควรจะถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่บอกถึงขั้นตอนตรวจสอบรายชื่อจำนวนมากอาจต้องใช้เวลานานมากกว่าบุคคลอื่น ส่วนเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้น รัฐสภาได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสรุปผลว่า ไม่พบผู้เสียชีวิต

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงให้ประทับรับฟ้องไว้และนัดสอบคำจำเลย ในวันที่ 8 ก.ค. นี้ เวลา 09.00 น.

ที่พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงกรณีที่เคยถูกกล่าวหาว่าสมัยดำรงตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อตอบแทนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับสัมปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยได้นำเงินสดจำนวน 1 ล้านบาทมาประกอบการแถลงข่าวพร้อมระบุว่า 12 เดือน ที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถหาหลักฐานใด ๆ มายืนยันตามข้อกล่าวหาตนได้ ซึ่งหากมีหลักฐานว่าตนกระทำเช่นนั้นจริง นอกจากจะยกสัมปทานที่ได้รับจากประเทศกัมพูชาให้แล้ว ตนยังจะให้เงินรางวัล 1 ล้านบาทเป็นการตอบแทนด้วย รวมไปถึงการกล่าวหาที่ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดทรัพย์ในประเทศ อังกฤษจำนวน 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น หากมีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงตนก็พร้อมที่จะมอบรางวัลอีก 1 ล้านบาทด้วย

มีรายงานว่า นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการ คตส. ได้นัดประชุมอดีตกรรมการ คตส. ทั้งหมดเป็นการด่วนในวันพฤหัสบดีที่ 21 ม.ค. 2553 ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งปรากฏว่าได้มีการปล่อยข่าวว่าแนวโน้มการลงมติขององค์คณะฯ จะออกมาอย่างไรและเสียงการลงมติอยู่ที่เท่าไหร่ วงเงินของการยึดทรัพย์จะอยู่ที่เท่าใด ซึ่งอดีตคตส. หลายคนโดยเฉพาะที่มาจากอดีตผู้พิพากษาเห็นว่าเป็นการปล่อยข่าวเพื่อกดดันและชี้นำการตัดสินของศาลล่วงหน้า

นอกจากนี้จะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องรูปคดีหลังจากการอ่านคำพิพากษา พ.ต.ท. ทักษิณก็จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาต่อจากคดียึดทรัพย์ซึ่งเป็นคดีแพ่ง โดยเบื้องต้นอดีตคตส.หลายคนที่เป็นนักกฎหมายเห็นว่าฝ่ายที่จะทำหน้าที่เอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณในคดีอาญาก็คือ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดต้องแล้วแต่คำพิพากษาของศาลด้วยว่าระบุความผิดในส่วนนี้ไว้อย่างไร โดยนายนามให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ได้นัดอดีตกรรมการ คตส.ประชุมกันในเย็นวันที่ 21 ม.ค. จริง โดยจะมีการหารือถึงความคืบหน้าในคดีต่าง ๆ โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนที่มีการปล่อยข่าวออกมาในช่วงนี้นั้น ทาง คตส.ไม่ได้วิตกอะไร และไม่จำเป็นต้องไปเต้นตามเพลง.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook