เจ้าสัวซีพีทุ่ม4หมื่นล.ลุยปีเสือ

เจ้าสัวซีพีทุ่ม4หมื่นล.ลุยปีเสือ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
สยายปีกธุรกิจอาหาร-ค้าปลีก

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เปิดเผยว่า ในปีนี้เครือซีพีพร้อมลงทุนเป็นวงเงินมูลค่า 40,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เพื่อขยายธุรกิจในเครือทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหาร ค้าปลีก และโทรคมนาคม เพราะเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่แล้ว ซึ่งวางเป้าหมายจะลงทุนต่อเนื่องในประเทศไทยอีก 2-3 ปีข้างหน้าให้ธุรกิจในประเทศอิ่มตัว หลังจากนั้นจะขยายการลงทุนในประเทศจีนและต่างประเทศเป็นหลัก โดยมั่นใจว่าในสิ้นปีนี้ทั้งกลุ่มจะมีรายได้เติบโต 20% บางธุรกิจเติบโตเป็นเท่าตัว จากปีก่อนที่มียอดรายได้รวมกว่า 600,000 ล้านบาท ส่วนแนวทางสร้างกำไรจะเน้นกำไรน้อยแต่ขายสินค้าให้มีปริมาณเยอะที่สุด

สำหรับประเทศที่บริษัทจะให้ความสำคัญลงทุนในปีหน้าได้แก่ จีน เพราะมีประชากรสูงถึง 1,300 ล้านคน จึงมีโอกาสขยายตลาดอีกมาก โดยเน้นขยายธุรกิจอาหารและค้าปลีกในจีนที่จะเข้าไปรุกธุรกิจอย่างจริงจัง ส่วนในประเทศอินเดียและรัสเซีย จะเน้นธุรกิจอาหาร และประเทศเวียดนามในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ขยายการลงทุนในตลาดต่างประเทศแล้ว 14 ประเทศ

พร้อมกันนี้ บริษัทอยากเน้นย้ำให้ไทยใช้โอกาสในปีนี้ที่มีการเปิดเสรีการค้าอาเซียน (อาฟต้า) ระหว่างอาเซียนและประเทศจีน จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก เพราะไทยมีศักยภาพสูงในทุกด้าน โดยหากเข้ามาลงทุนในไทยและส่งสินค้าออกไปประเทศจีนไม่เสียภาษีนำเข้า จึงต้องการให้การเมืองในประเทศนิ่งและแก้ไขปัญหามาบตาพุดให้จบเร็วที่สุด เนื่องจากมีผลกระทบมากกว่าปัญหาการเมือง ดังนั้นบริษัทกำลังมีแผนที่จะก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ จ.ระยอง มีพื้นที่รวมกว่า 4,000 ไร่ เพื่อรองรับนักธุรกิจจีนที่จะเข้ามาลงทุนในไทยรวมถึงนักธุรกิจทั่วโลกด้วย โดยบริษัทจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่นักธุรกิจจีนทุกด้าน ทั้งใบอนุญาต หรือการจัดตั้งบริษัท เป็นต้น ซึ่งจากการประเมินในเบื้องต้นพบว่า จะมีอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบาจากประเทศจีนหลายกลุ่มต้องการเข้ามาลงทุนในไทยในเม็ดเงินมหาศาล

ลงทุนในไทยเท่ากับลงทุนในจีน เพราะเราพร้อมทุกอย่าง แต่เสียดายปัญหามาบตาพุดสะเทือนมากกว่าการเมือง และกรณีเสื้อเหลืองเสื้อแดงอีก เพราะหยุดลงทุน 65 โครงการสะเทือนมากมาย และอยากให้แก้ไขให้เร็วที่สุด และถ้าไทยแก้ไขได้และการเมืองนิ่ง จะมีทั้งญี่ปุ่น จีนและทั่วโลกที่พร้อมเข้ามาลงทุนในไทย

สำหรับทิศทางสินค้าเกษตรของไทยในปีนี้เต็มไปด้วยโอกาสอย่างมาก เนื่องจาก ไทยมีน้ำมันบนดิน ทั้ง ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อย โดยคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะอยู่ที่ 60-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ความต้องการพืชพลังงานทดแทน ทั้งอ้อยและมัน ที่สามารถนำไปผลิตพลังงานทดแทนได้เพิ่มขึ้น และเมื่ออ้อยและมันแพงจะส่งผลให้ข้าวมีราคาสูงตามไปด้วย.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook