บล.กรุงศรีอยุธยาแนะขายทำกำไรระยะสั้นBANPU

บล.กรุงศรีอยุธยาแนะขายทำกำไรระยะสั้นBANPU

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บล.กรุงศรีอยุธยา : BANPU มูลค่าพื้นฐาน 582 บาท แนะนำ 'ขายทำกำไรในระยะสั้น' ความเสี่ยงด้านมูลค่าหุ้นสูงขึ้น               เราคาดว่าสภาพอากาศหนาวในประเทศจีนจะส่งผลบวกต่อราคาถ่านหินเพียงช่วงสั้นๆอีกทั้งผลประกอบการ 4Q52 มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ QoQ รวมถึงคาดว่าผลประกอบการด้านถ่านหินในปี 53 จะไม่โดดเด่นจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง ปัจจัยบวกจากการซื้อเหมืองถ่านหินใหม่ยังไม่มีความชัดเจน และที่สำคัญด้วยราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับตัวสูงถึง 31% จากคำแนะนำเดิม ซื้อ (ราคาปิด 470 บาท วันที่ 13 พ.ย. 52) และสูงกว่า 6% จากมูลค่าพื้นฐาน 582 บาท (Sum-of-the-parts) ของปี 53 เราจึงปรับคำแนะนำจากซื้อ เป็น ขายทำกำไรในระยะสั้น ไร้ปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการ 4Q52              เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 4Q52 เท่ากับ 1,950 ล้านบาท หดตัว 49%QoQ เนื่องจาก 1) ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียลดลง 6.5%QoQ เหลือ US$65/ตัน ผลจากถ่านหินที่ขายส่วนใหญ่อิงกับราคาในตลาดโลก ซึ่งต่างจากช่วง 1Q52-3Q52 ที่เป็นการขายตามราคาที่กำหนดไว้ก่อนหน้าตามสัญญาขายล่วงหน้า 2) ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า BLCP ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 1,058 ล้านบาท ใน 3Q52 เหลือเพียง 100 ล้านบาท ผลจากการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ (ตามแผน) เป็นเวลา 2 เดือน และ 3) ไม่มีกำไรจากการทำสัญญาสวอปถ่านหินซึ่งต่างจากช่วง 3Q52 ที่มีกำไรกว่า 1,031 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ปริมาณขายถ่านหินจากเหมืองในประเทศอินโดนีเซียใน 3Q52 กลับเพิ่มขึ้น 13%QoQ เป็น 6 ล้านตัน ตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น (หมายเหตุ: ประมาณการกำไรสุทธิ 4Q52 ข้างต้นยังไม่รวมเป็นไปได้ที่บริษัทอาจตั้งสำรองรายจ่ายทางภาษีจากการปิดกิจการบริษัท PT. Centrallink ที่เป็นบริษัทย่อยในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ US$30 ล้าน หรือประมาณ 900 ล้านบาท) คงสมมติฐานราคาถ่านหิน BJI ที่ US$80/ตัน             แม้ว่าราคาถ่านหิน BJI ล่าสุดจะสูงกว่า US$99.1/ตัน แต่เรายังคงสมมติฐานราคาถ่านหิน BJI ปี 53 ไว้ที่ US$80/ตัน โดยประเมินว่าราคาถ่านหินที่สูงขึ้นในปัจจุบันเป็นผลจากความต้องการในประเทศจีนที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งทำให้โรงไฟฟ้าหลายแห่งในจีนมีปริมาณสินค้าคงคลังที่ลดต่ำลง เราคาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายเมื่อสภาพอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นและเป็นผลให้ราคาถ่านหินปรับตัวลดลง ในส่วนของราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของ BANPU เราสมมติฐานที่ US$68/ตัน ลดลง 5%YoY ตามสัดส่วนการจำหน่ายถ่านหินที่มีค่าความร้อนต่ำเพิ่มขึ้น อย่างถ่านหินในเหมือง Kitadin-Embalut และ Indominco-East block ประกอบการผลของการทำสัญญาขายล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปี 52 ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายแล้ว 50% ของปริมาณขายถ่านหินทั้งหมดในปี 53 จำนวน 23 ล้านตัน และมีราคาขายเฉลี่ยต่ำเพียง US$64/ตัน แนวโน้มกำไรสุทธิปี 53 ทรงตัว              เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 53 จะทรงตัวที่ 13,697 ล้านบาท (-4.5%YoY) แม้ได้รับผลบวกจากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น 11%YoY เป็น 23 ล้านตัน แต่ราคาขายเฉลี่ยคาดว่าจะลดลง 5%YoY รวมถึงต้นทุนน้ำมันดีเซลที่คิดเป็น 25% ของต้นทุนรวม คาดว่าเพิ่มขึ้น 10%YoY เป็น US$0.7/ลิตร ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับคาดว่าจะไม่มีกำไรจากการทำสัญญาสวอปถ่านหิน ขณะที่ปี 52 มีกำไรกว่า US$70 ล้าน หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เราคาดว่าราคาถ่านหินอาจมีแนวโน้มผันผวนตามปัจจัยฤดูกาลทั้งส่วนฤดูหนาวในจีนที่ผ่านมา และฤดูฝนในอินโดนีเซียที่หากรุนแรงจะส่งผลต่อปริมาณการผลิตซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาถ่านหินการควบคุมการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียไม่น่าเป็นห่วง             แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลพยายามควบคุมการดำเนินธุรกิจเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียโดย 1) การกำหนดปริมาณขายถ่านหินในประเทศ (Domestic Market Obligation: DMO) โดยเบื้องต้นกำหนดให้ผู้ผลิตต้องจำหน่ายถ่านหินจำนวน 30% ของปริมาณที่ผลิตได้ ให้แก่ลูกค้าในประเทศ ซึ่งผู้บริหารคาดว่ายังไม่ส่งผลกระทบในระยะสั้นเนื่องจากปัจจุบันความต้องการใช้ถ่านหินในอินโดนีเซียยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อกลไกราคาภายในประเทศ จึงคาดว่ารัฐบาลยังไม่สามารถบังคับใช้เกณฑ์ดังกล่าวได้อย่างจริงจัง 2) กฏหมายการทำเหมือง (Mining Law) ซึ่งจะระบุถึงปริมาณสำรองของทั้งประเทศ และการจำกัดพื้นที่การทำเหมืองของผู้ผลิตแต่ละรายผู้บริหารคาดว่าเป็นการบังคับใช้กับผู้ผลิตรายใหม่เท่านั้น ส่วนผู้ผลิตรายเดิมจะคงเป็นไปตาม CoW (Contract of Work) จนกว่าจะหมดสัมปทาน       

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook