กษิตยันแค่ประสานงานไม่ได้ตามจับทักษิณ

กษิตยันแค่ประสานงานไม่ได้ตามจับทักษิณ

กษิตยันแค่ประสานงานไม่ได้ตามจับทักษิณ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"กษิต"ยันบัวแก้วไม่มีหน้าที่ตามจับ"ทักษิณ" ชี้สิ่งที่ทำอยู่แค่การประสานงานให้ ระบุนโนยบายรบ.ชุดนี้ไม่เคยคิดจะใช้ความแข็งกร้าวกับใคร พร้อมโต้แทนพธม. อ้างเหตุที่ยึดสนามบินต้องดูเจตนารมณ์ของผู้ชุมนุมในเวลานนั้น เผยตอนนี้ถูกดำเนินคดี 4 - 5 คดี ลั่นไม่เคยคิดหนี ใครบางคน พร้อมยอมรับคำตัดสินที่จะออกมา แถมถามหาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยลิ่วล้อ"ทักษิณ" ที่ยอมตกเป็นทาสเงิน ช่วยถล่มประเทศ


 (24ม.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ ผ่านรายการเอ็กคลูซีฟทางสถานีข่าว 100.5 กรณี การติดตามตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่หน้าที่หลักของกระทรวงการต่างประเทศ แต่เป็นการให้ความร่วมมือหน่วยงานยุติธรรมติดตามตัวนักโทษหนีการรับโทษ ระบุตนเองและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ด้วยความแข็งขัน เพราะเป็นผลประโยชน์ของประเทศ และขอยืนยันว่ากระทรวงต่างประเทศไม่มีแนวทางการทูตต่อเรื่องที่ว่าจะไปแข็งกร้าวหรือก้าวร้าวกับใคร

 เมื่อถามว่า ไทยและยูเออีเตรียมลงนามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงปีนี้ รมว.กต. กล่าวว่า หากมีผลบังคับใช้แล้วก็ต้องดูว่าในข้อตกลงว่ามีรายละเอียดอย่างไรเพราะสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ต้องเชื่อมโยงกับข้อกฏหมายของแต่ละประเทศด้วย เราไม่ควรคาดการณ์ก่อนว่าเขาจะปฏิเสธ ซึ่งเราต้องเคารพในอธิปไตยของเขา ขณะเดียวกันเขาก็ต้องเคารพเราด้วยเช่นกัน สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงนั้น ตนเห็นว่าไม่เห็นมีปัญหาอะไร ในแง่ที่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกทางประชาธิปไตยตามสิทธิเสรีภาพ แต่สิ่งที่ไม่ด้วยคือการใช้ความรุนแรง การข่มขู่ทำร้ายร่างกายที่จะเอากันถึงชีวิต ทำลายเผาบ้านเมือง ล้มล้างรัฐบาลที่มาตามกฏหมาย อันนี้ไม่มีสิทธิ ไม่ถูกต้อง จึงขอประณาม และเป็นสิ่งที่สังคมต้องช่วยกันปฏิเสธ

 ส่วนกรรีที่กลุ่มเสื้อแดงจะไปชุมนุมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งในอดีตกลุ่มพันธมิตรเคยไปชุมนุมมาแล้ว นายกษิต กล่าวว่า ต้องมองจากที่มาที่ไปเสียก่อนเพราะรัฐบาลชุดก่อน ๆ ไม่ได้เข้ามาเพื่อบริหารประเทศ แต่มาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจะฟอกพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องทางการเมือง ประชาชนจึงออกมาประท้วงกัน โดยวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ก็มีการฆ่าฟันประชาชนกันที่รอบ ๆ รัฐสภาตั้งแต่ 6 โมงเช้า ส่งผลต่อความรู้สึกของประชาชน เพราะเป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม โดยรัฐบาลในขณะนั้นก็มีจุดประสงค์เข้ามาเพื่อหาอำนาจ นำระบอบทักษิณกลับมาบริหารบ้านเมือง และพยายามใช้วิถีทางรัฐสภาเสียงข้างมากเพื่อแก้กฎหมายที่ขัดกับครรลองประชาธิปไตยช่วยพวกพ้องให้พ้นผิด ดังนั้นจึงต้องมองวิวัฒนาการของการออกมาประท้วงว่าเหตุใดประชาชนจึงออกมาประท้วง เพราะมีการคอปรับชั่น ทุจริตมากมาย ใช้กฎหมายไม่ถูกต้อง การใช้ความรุนแรงโดยอำนาจรัฐ และต้องดูด้วยว่าใครปิดสนามบินแล้วใครนำความรุนแรงมา จึงตามหลักเหตุผลรอบด้านจะเอาเหตุการณ์อันเดียวมาเป็นตัวตั้งไม่ได้

 เมื่อถามว่า หากอีกกลุ่มมองว่ากลุ่มหนึ่งทำได้แล้วเหตุใดอีกกลุ่มจะทำไม่ได้ นายกษิต กล่าวว่า เหตุผลไม่เหมือนกัน รัฐบาลนี้ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มุ่งแก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองร่ำรวย หรือให้อยู่ในอำนาจต่อไป

 เมื่อถามต่อว่า สถานการณ์การเมืองไทยช่วงนี้ต่อไปจนถึง 26 ก.พ. ก่อนมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ นายกษิต กล่าวมองว่า ต้องเคารพในกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นนักการเมืองต้องเคารพกติกา ไม่ว่าคำตัดสินจะเป็นอย่างไร หลักที่สำคัญคือหลักพุทธศาสนาคือเมื่อทำชั่วแล้วต้องรับกรรม ทำชั่วแล้วจะมาบอกว่ามีเสียงข้างมาก เงินมากแล้วไปยัดเยียดเพื่อเปลี่ยนแปลงการตัดสินกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ โดยรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม พร้อมคิดว่าคนไทยมีศักดิ์ศรีพอ

 " ตอนนี้ผมเองก็อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดี 4 คดี ทั้งคดีผู้ก่อการร้าย การบินไทยฟ้องร้อง และคดีหมิ่นประมาท 2 - 3 คดี ยืนยันไม่หนีกระบวนการยุติธรรม ไม่หนีศาล หนีคุก หนีตาราง ไม่ใช่เก่งแต่กรอกไมโครโฟน โฟนอิน แต่หนีกระบวนการยุติธรรม ความเป็นลูกผู้ชาย ความเป็นนักการเมือง การเป็นนักเรียนทุนหลวงว่าอย่างไร การเป็นข้าราชการว่าอย่างไร ตรงนี้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน และใครก็ตามที่ไปรับใช้คนที่โกงกินบ้านเมือง หรือคนที่หนีกระบวนการยุติธรรมเป็นสิ่งที่น่าอดสูของสังคมไทย เพราะคนที่ผิดมาแล้วก็ยังมีคนชื่นชม รับเงินมาช่วยกันทำลายสังคมไทย สังคมประชาธิปไตย ตรงนี้ต่างหากที่ต้องมาช่วยกันออกมาประณามไม่ไปอยู่ในอามิจสินจ้าง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook