ฟิทช์ปรับลดเครดิต TOP เป็นลบ

ฟิทช์ปรับลดเครดิต TOP เป็นลบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

               รายงานข่าวจาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ระยะยาวที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) และระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+(tha)’  ในขณะเดียวกันฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็นลบจากเดิมแนวโน้มมีเสถียรภาพ                 การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินต่อกระแสเงินสดของบริษัทที่สูงกว่าที่คาดการณ์ปี52 นอกจากนี้สภาวะอุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่อาจทำให้การปรับลดอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทในช่วง 2 ปีข้างหน้าอาจจะล่าช้าออกไปอีก ในขณะที่อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าอัตราส่วนที่ควรจะเป็นสำหรับอันดับเครดิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน               หนี้สินสุทธิที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปี 2552 ของบริษัทนั้น เป็นผลมาจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ค่าการกลั่นที่ลดลงและการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้  แม้ว่าปัจจัยเหล่านี้จะถูกลดทอนลงบางส่วนจากความแข็งแกร่งของธุรกิจพาราไซลีนและการลดลงอย่างมากของค่าใช้จ่ายในการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2552 บริษัทมีหนี้สินสุทธิอยู่ 43.1 พันล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน ซึ่งคำนวณตัวเลขทั้งปีจากตัวเลข 9 เดือนแรกของปี (annualised FFO-adjusted net leverage) และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (annualised adjusted net debt to EBITDAR) อยู่ที่ระดับ 1.8 เท่า และ 2.0 เท่า ตามลำดับ  เทียบกับอัตราส่วนดังกล่าวในช่วงปี 2548 – 2550 ที่อยู่ที่ระดับ 1 เท่า               ธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่จำนวนมาก ในขณะที่ความต้องการยังคงอ่อนแออยู่ ถึงแม้ฟิทช์คาดการณ์ว่าความต้องการจะค่อยๆฟื้นตัวในปี 2553 ก็ตาม  ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะยังคงกดดันค่าการกลั่น ส่วนต่างระหว่างราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับต้นทุนวัตถุดิบ และอัตราการใช้กำลังการผลิตในตลอดช่วงปี 2553                อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงการที่บริษัทดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งมีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปชนิดที่มีมูลค่าสูงได้ในสัดส่วนที่สูงโดยมีต้นทุนการผลิตต่ำ  อันดับเครดิตยังได้พิจารณารวมถึงความสำคัญของบริษัทที่มีต่อ บมจ. ปตท. หรือ ปตท. และลักษณะการดำเนินธุรกิจที่เชื่อมโยงระหว่างกัน   การที่บริษัทมีการผลิตต่อเนื่องไปยังการผลิตพาราไซลีนและน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานยังเป็นการเพิ่มระดับการผลิตแบบครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์น้ำมันและลดความผันผวนของรายได้จากค่าการกลั่นน้ำมัน  นอกจากนี้การเข้าไปดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทยังช่วยลดความผันผวนของรายได้จากธุรกิจการกลั่นน้ำมันได้บางส่วนเช่นกัน แม้ว่าปัจจุบันกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะมีสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่ก็ตาม              ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของบริษัท ถูกลดทอนลงจากปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ค่าการกลั่น ตลอดจนวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมี  บริษัทยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดหาน้ำมันดิบ เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพาแหล่งน้ำมันดิบจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ไม่กระจายตัวมากพอ การมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว และการที่บริษัทต้องพึ่งพาตลาดเพียงตลาดเดียวเนื่องจากบริษัทขายผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในตลาดในประเทศ  อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ไม่กระจายตัวมากพอได้ถูกบรรเทาลงบางส่วนจากการที่ ปตท. ซึ่งเป็นผู้รับซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปรายใหญ่ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ในการจัดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย และมีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งที่ระดับ ‘AAA(tha)’              อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลง ถ้าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่ายและค่าเช่า (adjusted net debt to EBITDAR) ไม่สามารถลดลงมาที่ระดับ 1.0 เท่าภายในปี 2554 หรือค่าการกลั่นน้ำมันเฉลี่ย (ที่ไม่รวมผลกำไรขาดทุนจากสินค้าคงคลัง) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลอย่างต่อเนื่องในช่วง 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า ทางกลับกัน แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับสู่แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพเช่นเดิม หากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook