โฆษกรัฐประเมินแดง7วันอันตรายลุยแหลกป่วนเมือง

โฆษกรัฐประเมินแดง7วันอันตรายลุยแหลกป่วนเมือง

โฆษกรัฐประเมินแดง7วันอันตรายลุยแหลกป่วนเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โฆษกรัฐ ประเมินแดง 7 วันอันตราย ลุยแหลก ป่วนเมือง ยุ ทหารปฎิวัติเป้าหมาย ล้มคดี ล้างกระดานใหม่ อุ้ม ทักษิณ รอด แตกแดงเป็น 3 กลุ่ม ฮาร์ดคอร์ หนักข้อสุด สแกนละเอียดยิบทั้งเว็ปบอร์ด-วิทยุชุมชน ระบุ รัฐบาลพลัดถิ่น แค่ฉากล่อมวลชนให้ออกมาต่อสู้


(26ม.ค.) นายปณิธาน วัฒนากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า วันนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้เสนอรายงานการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อที่ประชุมครม.โดยประเมินว่า ก่อนจะถึงวันตัดสินคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะมีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น 3 ระดับ คือรุนแรงที่สุด เพื่อไม่ให้มีการตัดสินคดี รุนแรงปานกลาง และแค่ดาวกระจายทั่วไป ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด

ทั้งนี้ จะมีการไปปิดล้อมบ้านบุคคลสำคัญเช่นผู้นำทางการเมือง ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมหรือองค์กรอิสระ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง สถานีตำรวจ สนามกอล์ฟของเอกชน โดยจะเชื่อมโยงประเด็นต่าง ๆ เพื่อโจมตีว่ารัฐบาลมี 2 มาตรฐาน ซึ่งนายกฯได้สั่งการให้นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ทำความเข้าใจกับประชาชนว่า คดีต่าง ๆ มีขั้นตอนอย่างไร เพราะบางคดีใช้เวลาเป็นปี จะไปเร่งรัดไม่ได้

นายปณิธาน กล่าวว่า ขั้นที่รุนแรงกว่านั้น คือ การชุมนุมขนาดใหญ่ เพื่อผลักดันให้เกิดวิกฤตที่แปรปรวน โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงต่อการเผชิญหน้า กดดันให้ฝ่ายความมั่นคงเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมืองนอกวิถีประชาธิปไตย หลายคนยังคิดถึงสูตรที่เคยใช้เมื่อ 19 ก.ย.49 ที่เมื่อจะมีการปะทะกันแล้วรัฐบาลบริหารไม่ได้ ทหารออกมาปฎิวัติ แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะรัฐบาลนี้มีวิธีควบคุมการชุมนุมที่มีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้เกิดวิกฤตจนสุกงอมเปิดช่องให้อำนาจอื่นเข้ามา โดยเฉพาะในช่วง 5-7 วันก่อนตัดสินคดีจะเคลื่อนไหวเข้มข้นที่สุด

"เป้าหมายสุดท้ายหรือ end games คือไม่ยอมรับการตัดสินในคดียึดทรัพย์ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมาก็ประกาศมาตลอดว่า ศาลมีความสองมาตรฐาน ดังนั้น ยิ่งใกล้วันตัดสินจะอันตรายและรุนแรงมากขึ้น เพราะเขาจะทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้มีการตัดสินคดี ต้องเอาคดีออกจากระบบให้ได้ ซึ่งเชื่อมโยงกับข่าวการปฎิวัติรัฐประหารทั้งที่ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ปล่อยข่าวออกมา เพื่อยั่วยุให้สถานการณ์รุนแรง นำไปสู่จุดเปลี่ยน และทำให้ไม่สามารถตัดสินคดีได้ แต่รัฐบาลมีการเตรียมการรับมือเป็นขั้นตอนก็จะควบคุมไม่ให้บานปลายได้ "นายปณิธาน กล่าว

นายปณิธาน กล่าวว่า มีการวิเคราะห์กลุ่มเสื้อแดงว่าขณะนี้แตกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแดงเดือนตุลา ซึ่งมีการจัดตั้งโรงเรียนทั่วประเทศ ใช้พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเครื่องมือปลุกระดมคนให้เท่านั้น ไม่มองว่าจุดสุดท้ายของเกมนี้อยู่ที่การตัดสินคดียึดทรัพย์ แม้ไม่มีพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคลื่อนไหวต่อไปได้ เขารอมาได้ตั้งแต่อยู่ในป่ากว่า 20 ปี ดังนั้น สามารถจะรอต่อไปได้ ในทางกลับกันมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจุดอ่อนที่จะถูกโจมตีกลับด้วยซ้ำ

2.กลุ่มแดงเถือก หรือแดงฮาร์ดคอร์ เป็นคนที่เคยมีประสบการณ์ในการรุนแรงและเชื่อในแนวทางนี้ ต้องการเห็นเลือด ใช้กำลังความรุนแรงเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด เราเฝ้าระวังมากที่สุด มีฐานหลักอยู่ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ

และ 3.กลุ่มแดงตามกระแสนิยม ถนัดในการใช้สื่อปลุกระดมมวลชน นอกจากทั้งสามกลุ่มแล้วยังมีกลุ่มที่คอยประสานงานทั้งสามกลุ่ม คนพวกนี้เคยมีตำแหน่งสำคัญปัจจุบันก็ยังอยู่ในระบบการเมือง ติดต่อประสานงานกับพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ตลอด

"หน่วยความมั่นคงกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวทั้งสามกลุ่ม เราให้คนอ่านตามเว็ปบอร์ดต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ก็มีการตัดตอน เพื่อไม่ให้จับได้โดยแยกกันระหว่างเจ้าของเว็ปบอร์ด กับเจ้าของเว็ปไซต์ หรือติดตามการนัดหมายทางวิทยุชุมชนหรือทางเอสเอ็มเอส แต่ยืนยันว่า ไม่มีนโยบายที่จะดักฟังโทรศัพท์อย่างเด็ดขาด เพราะถือว่า เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และสุดท้ายแล้ว หากภารกิจของทั้ง 3 กลุ่มประสบผลสำเร็จพวกเขาก็จะขัดแย้งกันเอง แต่ช่วงนี้ต้องอยู่ด้วยกันเพราะสถานการณ์เหมือนกับการแต่งงานด้วยความจำเป็น วันหนึ่งข้างหน้าก็ต้องหย่าร้าง"โฆษกรัฐบาล กล่าว

ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหากมีการปฎิวัตินั้นเป็นแค่นวัตกรรมทางการเมือง ปลุกเร้าใจให้มวลชนเสื้อแดง มองเห็นว่า จะมีเกมให้เล่นหลังคดียึดทรัพย์ แต่ความจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นส่วนใหญ่จะทำในภาวะสงคราม และต้องมีประเทศมหาอำนาจในองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ให้การรับรองด้วย ลำพังกัมพูชารับรองไม่สามารถตั้งได้

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook