เบรกคลังตีโป่งเพดานภาษี

เบรกคลังตีโป่งเพดานภาษี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ไตรรงค์ห่วงสูบเลือดเอกชนแห้งเร่งเติมความมั่นใจฟื้นเศรษฐกิจ

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐ มนตรี เปิดเผยว่า ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. โดยให้กระทรวงการคลังกลับไปจัดทำรายละ เอียดของตัวเลขการจัดเก็บรายได้ในปีงบ ประมาณ 54 ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.65 ล้านล้านบาทให้ชัดเจนว่าประกอบด้วยภาษีใดบ้าง โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้จากภาษีนิติบุคคลธรรมดา เนื่องจากเห็นว่าภาคเอกชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของ ประเทศและเพิ่งพ้นภาวะบาดเจ็บจากภาวะวิกฤติ เศรษฐกิจในปี 51 และ 52 แม้ว่าจะดีขึ้นใน ปี 53 แต่เห็นว่าควรเปิดโอกาสให้เอกชนได้รักษาบาดแผลตนเองบ้าง ไม่ใช่รีดภาษีจนไม่มีเงินเหลือไว้รักษาบาดแผล

หากกรมสรรพากรตั้งเป้าหมายการเก็บภาษีนิติบุคคลไว้ในระดับสูง ก็จะทำให้เกิดการรีดภาษีหรือทำให้ได้ตามเป้าหมายทั้งที่เอกชนเพิ่งเผชิญภาวะยากลำบากมา และยังคาดว่าตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 53 ไปจนถึงครึ่งปีแรกของปี 54 ภาคเอกชนจะเผชิญกับปัญหาต้นทุนสูงจากภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นถึง 30% และต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้นกรมสรรพากรต้องเปิดโอกาสให้เอกชนได้หายใจและรักษาบาดแผตัวเองบ้าง ไม่เหมือนกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้นตามการบริโภคของกำลังซื้อในประเทศ

ทั้งนี้กรอบวงเงินรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท แยกเป็นรายได้จากกรมสรรพากร 1,305,600 ล้านบาท ศุลกากร 88,400 ล้านบาท สรรพสามิต 387,100 ล้านบาท และหน่วยงานอื่น 177,400 ล้านบาท รวมเป็น 1,958,500 ล้านบาท แต่เมื่อหักการคืนภาษีของกรมสรรพากร การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่ม การกันเงินเพื่อชดเชย ภาษีการส่งออก การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วจะเหลืองบประมาณสุทธิ 1.65 ล้านล้านบาท

นายไตรรงค์ กล่าวด้วยว่าในช่วง 1 ปีจากนี้ไปจะเข้าไปต่อยอดจากงานที่รัฐบาลได้เดินมาก่อนหน้านี้เพราะทำมาดีอยู่แล้วทั้งการทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋า เพิ่มขึ้น การประกันรายได้เกษตรกร รวมทั้งจะเข้าไปดูว่าภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออะไรเพื่อลดปัญหาและอุปสรรค หลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมาแล้ว โดยมั่นใจว่าเศรษฐกิจในปี 53 ยังคงเติบโตได้ที่ระดับ 3-3.5% เพราะผลจากสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาวในโครงการไทยเข้มแข็ง

นอกจากนี้จะกำหนดยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาวหรืออีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อให้เศรษฐกิจของไทยมั่งคั่งและให้ลูกหลานอยู่ดีกินดีได้ต่อไป ซึ่งต้องดำเนินการในหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทั้งระบบชลประทาน ที่ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนล้านบาท, ระบบโล จิสติกส์ โดยเฉพาะรถไฟรางคู่ที่ต้องทำให้ครบ 3,039 กม. ซึ่งใช้เงินอีกไม่ต่ำกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท จากเดิมที่ ครม.อนุมัติไปแล้ว 85,000 ล้านบาท, รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้หรือเซาเทิร์นซีบอร์ด ที่จะมีทั้งท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามัน สะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยที่ใช้งบประมาณ 4 แสนล้านบาท

ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเทคแอ๊คชั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ โดยเริ่มจากการรื้อฟื้นแผนพัฒ นาเซาเทิร์นซีบอร์ดซึ่งได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วและจะเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อวางแผนให้ชัดเจนต่อไป.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook