กรองงบฯปี 54 กว่า 2 ล้านล้านบาท

ชงสูตรขาดดุลต่ออีกปีเทงบกระตุ้นเศรษฐกิจ

ครม.อนุมัติกรอบงบประมาณปี 54 กว่า 2 ล้านล้านบาท ขุนคลังชงสูตรขาดดุลต่ออีกปี วาดฝันรีดขนห่านได้ 1.65 ล้านล้านบาท มาร์ค เล็งทุ่มงบกลางปีกระตุ้น ศก. พร้อมเร่งท้องถิ่นแจกเบี้ยยังชีพ-อสม. ด้าน มท.2 ซัด อบต.หลายแห่งฝากแบงก์กินดอกก่อนแจกรากหญ้า

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 อยู่ที่ 2,070,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 370,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.8% ส่วนรายได้สุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 1,650,000 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณขาดดุล 420,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.1% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 70,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% โดยคำนวณจากการประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปี 54 จะขยายตัว 3.5-4.5% โดยมีเงินเฟ้อที่ระดับ 2-3%

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามถึงแนวทางการจัดทำงบกลางปีว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่ง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า สามารถทำได้แต่ตั้งข้อสังเกตว่าต้องมีเหตุผลที่จำเป็นและเหมาะสมด้วย และ รมว.ลังได้แสดงความเป็นห่วงรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ 54 ที่สูงขึ้นมากและควบคุมยาก จึงต้องการให้แต่ละฝ่ายไปควบคุมดูแลรายจ่ายประจำให้มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้นายกฯ ได้ปรารภว่าต้องการให้จัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มากขึ้น แต่มีปัญหาเบิกจ่ายล่าช้าหรือไม่มีการเบิกจ่ายเลย โดยเฉพาะในส่วนของเบี้ยยังชีพคนชรา และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงว่า สาเหตุที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เบิกจ่ายล่าช้านั้น เนื่องจาก อบต. บางแห่งรับเงินไปแล้ว กลับนำเงินไปฝากกินดอกเบี้ยไว้ที่ธนาคารนาน 2-3 เดือน

ด้านนายกรณ์ รมว.คลัง กล่าวว่า จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าการจัดเก็บรายได้จะดีขึ้นก็ทำให้ รัฐบาลผลักโครงการลงทุนที่เดิมคาดว่าจะใช้เงินนอกงบประมาณมาใช้เงินในงบประมาณ แทนได้ ซึ่งตรงกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการใช้เงินในงบประมาณเพื่อลดภาระเงินนอกงบประมาณ เพื่อสร้างความสบายใจเพิ่มเติมในเรื่องของกลไกการกลั่นกรอง และความโปร่งใสในการพิจารณาโครงการต่าง ๆ จึงทำให้การจัดงบลงทุนในปี 54 มีจำนวน 341,369.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 127,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรวมทั้งยังมีเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ที่ได้อนุมัติไปแล้ว 3.5 แสนล้านบาท ที่เชื่อว่ายังมีส่วนเหลืออีก 1.5 แสนล้านบาท ที่จะมาเบิกใช้ในปี 2554

สำหรับความจำเป็นในการใช้วงเงินกู้ตาม พ.ร.บ. วงเงิน 4 แสนล้านบาทที่เหลือนั้นถือเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลจะนำไปใช้ในยามจำเป็น แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวรายได้รัฐบาลสูงขึ้น เอกชนพร้อมลงทุน กล่าวคือ ตัวโครงการ 1.4 ล้านล้านบาท สามารถหาแหล่งเงินอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ เม็ดเงินจาก พ.ร.บ.รัฐบาลก็อาจเลี่ยงไม่ใช้ ได้ เพราะฉะนั้นสบายใจได้ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ.