ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยบุกบ้าน ป๋า จี้ขอเงินชดเชย

ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยบุกบ้าน ป๋า จี้ขอเงินชดเชย

ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยบุกบ้าน ป๋า จี้ขอเงินชดเชย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ม๊อบผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยอีสาน19จังหวัดบุกบ้านพักป๋าเปรมที่โคราช ทวงสัญญาเงินช่วยเหลือรายละกว่า2แสนบาท เตรียมปักหลักหน้าบ้านจนกว่าได้รับคำตอบ

วานนี้(27ม.ค.)กลุ่มอดีตแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ที่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.กาฬสินธุ์ , นครพนม , สกลนคร และจังหวัดนครราชสีมา ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจากคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนราษฏรผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยประจำจังหวัด เพื่อได้รับเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาล จำนวนกว่า 200 คน นำโดยนายบุญใส ก้อนดินจี่ หรือสหายประสิทธิ์ ประธานกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.)(2) 4 ภาค เดินทางมาจากภูมิลำเนาเพื่อมารวมตัวกันที่หน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ก่อนที่จะพากันเดินขบวนไปตามถนนโพธิ์กลาง ผ่านสำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา ไปยังบ้านพักของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ถนนสืบสิริ อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.โพธิ์กลาง และตำรวจภูธรนครราชสีมา จำนวนนับ 100 นาย นำแผงเหล็กมากั้นบริเวณหน้าบ้าน

โดยกันให้กลุ่ม ผรท.อยู่บริเวณถนนหน้ากองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ตรงข้ามหน้าบ้านพล.อ.เปรมฯ จากนั้นนายบุญใส ก้อนดินกี่ แกนนำ ผรท.ได้อ่านสาส์นของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ ปี พ.ศ.2523 ซึ่งมีขอความประกาศให้คำมั่นสัญญากับกลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่เข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่เพื่อร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย ว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยและจะให้การช่วยเหลือให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้อย่างดีที่สุดและแถลงการณ์เรียกร้องขอความเป็นธรรมและกาศต่อต้านการทำหน้าที่ของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนราษฏรผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยประจำจังหวัด และระดับภาค มาอ่านแถลงการณ์หน้าบ้านพักของพลเอกเปรม เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะทางกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้พิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่ม ผรท.ส่งไปยังรัฐบาล พิจารณาคัดกรองผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับการช่วยเหลือใหม่ทั้งหมด

โดยให้เหตุผลว่า การพิจารณาคัดเลือก ผรท.ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนราษฏรผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ระดับจังหวัด และระดับภาค ดำเนินการพิจารณาไม่โปร่งใส คัดเลือกแต่พวกพ้องของตนเอง ไม่สนใจพี่น้องประชาชนกลุ่มอื่น จนเป็นเหตุให้กลุ่ม ผรท.ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนหนึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกคัดทิ้งจำนวนไม่ต่ำกว่า 5,000 คนจากทั้งหมด 11,000 คน ซึ่งทางกลุ่มผรท.ที่เดินขบวนในครั้งนี้เรียกร้องให้ทางกองทัพภาคที่ 2 รัฐบาลทำการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนราษฏรผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยทั้งในส่วนของระดับจังหวัด ระดับภาคใหม่ทั้งระบบพร้อมให้สรรหาผู้ที่เป็นการมาเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติอีกครั้งหนึ่งรวมถึงให้แก้ไขกฏระเบียบการคัดกรองใหม่เนื่องจากระเบียบการคัดกรองเก่าไม่เป็นธรรมซึ่งหากไม่ได้ตามที่เรียกร้องทางกลุ่ม ผรท.พร้อมกับปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้าบ้านพักป๋าเปรมต่อไปอย่างไม่มีกำหนด

นายบุญใส ก้อนดินจี่ ประธานกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย 4 ภาค กล่าวว่า ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคอีสานมาแจ้งลงทะเบียนไว้กว่า 11,000 ราย เพื่อให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้เข้ารับการช่วยเหลือจากรัฐบาลด้วยการจ่ายเงินชดเชยให้คนละ 225,000 บาทตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 190/2552 เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หลังรัฐบาลได้ประกาศยุติสงครามประชาชนและสัญญาจะให้ความช่วยเหลือตามนโยบาย 66/2523 สมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปัจจุบันมีผู้ที่ลงทะเบียนจำนวนกว่า 5 พันคนไม่ผ่านการพิจารณาคัดกรองจากคณะกรรมการ

โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดคุณสมบัติของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่จะได้รับสิทธิ์ มีความไม่เป็นธรรมหลายอย่าง เช่น กำหนดให้เฉพาะคนที่เกิดก่อนปี 2509 เท่านั้นที่จะมีสิทธิรับเงินชดเชย, ผู้ที่เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ดำรงตำแหน่งเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือข้าราชการก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าว รวมถึงผู้ที่มีรายได้มากกว่า 60,000 บาทต่อปีก็ถูกตัดสิทธิ์เช่นกัน นอกจากนี้ระดับจังหวัดบางจังหวัดมีความไม่โปร่งใส เห็นแก่พรรคพวกของตัวเอง และบางจังหวัดยังเรียกร้องเงินค่าตอบแทนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยผ่านการพิจารณาคัดกรอง ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับพี่น้องแนวร่วมผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเป็นอย่างมากจึงได้รวมตัวกันเดินทางมาปักหลักชุมนุมกันที่หน้าบ้านพักของพลเอกเปรมเพื่อทวงสัญญาและรอฟังคำตอบที่ชัดเจน พร้อมกับปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้าบ้านพักป๋าเปรมต่อไปอย่างไม่มีกำหนด

ในเวลาต่อมานายบุญใส ก้อนดินจี่ ประธานกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย 4 ภาค ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพลตรีกนก เนตระคเวสนะ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ที่บริเวณหน้าบ้านของพล.อ.เปรมฯผ่านไปถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาเรื่องปัญหาดังกล่าว พร้อมกันนี้พลตรีกนกได้นัดหมายแกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยส่งตัวแทนเข้าหารือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในวานนี้(27 ม.ค.) เวลา 08.30 น. ที่สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยภายหลังจากที่ทางกลุ่ม ผรท.ได้ยื่นหนังสือกับรองแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว ก็ได้เคลื่อนขบวนกลับไปปักหลักอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา เพื่อเตรียมที่จะเข้าประชุมหารือกับทางกองทัพภาคที่ ในวันนี้(28 ม.ค.)อีกครั้ง

ด้านพล.ต.กนก รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยหลังจากได้เจรจากับแกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่มารวมตัวกันเรียกร้องในวันนี้ ว่าขณะนี้ต้องทำความเข้าใจกับพี่ น้อง ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยว่าทางหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินการพิจารณาคัดกรองช่วยเหลือ โดยตั้งคณะกรรมการที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และมีตัวแทนของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนี้ด้วยเพื่อจะได้มีการตรวจสอบกันเองเสียก่อน

สำหรับคุณสมบัติที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ คือต้องเป็นบุคคลที่เกิดในปี พ.ศ.2509 หรือก่อนนั้น ต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากทางราชการในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และไม่เคยได้รับความช่วยเหลือด้านการจัดที่ดินจากทางราชการมาก่อน ต้องเป็นผู้มีฐานะยากจนรายได้ต่อปีไม่เกิน 6 หมื่นบาท และเป็นผู้ที่มีความประพฤติดี ขณะนี้มีผู้ที่แสดงสิทธิ์ขอความช่วยเหลือทั้ง 19 จังหวัดอีสาน รวมทั้งสิ้นกว่า 11,000 คน ดังนั้นขั้นตอนการพิจารณาต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ และเป็นธรรม เราจะยอมอ่อนให้กลุ่มใด กลุ่มหนึ่งมิได้ ต้องให้บรรดาแกนนำ หรือผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยกลับไปรวบรวมข้อมูลทำบัญชีพิจารณา และคัดกรองให้เกิดความชัดเจนทั้งตัวบุคคล และเอกสารยืนยัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยจากเดิมเป็นกลุ่มคอมมิวนิสต์ โดยสมัยรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ออกมามอบตัวกับทางการแลกกับการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนทำให้กลุ่มคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นพร้อมใจกันวางปืนออกจากป่ามามอบตัวกับทางการในที่สุด และจากฐานข้อมูลเดิมในพื้นที่ 19 จังหวัดภาคอีสาน มีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยแจ้งขึ้นบัญชีไว้เพียง 3,817 ราย แต่ปัจจุบันมีผู้มาแจ้งลงทะเบียนมากกว่า 11,000 ราย แต่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการคัดกรองเพียง 5 พันกว่ารายเท่านั้น ซึ่งหากทุกคนผ่านการกลั่นกรองคุณสมบัติว่าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยจริง รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานรวมเป็นเงินกว่า 2,400 ล้านบาท

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook