SSI ยอดขายพุ่งหนุนนำปี52 กำไร

SSI ยอดขายพุ่งหนุนนำปี52 กำไร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) เปิดเผยว่า ขอชี้แจงสาเหตุของความแตกต่างของผลการดำเนินงานสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และ2551 ดังต่อไปนี้                 1) บริษัทมีรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน จำนวน32,887.6 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายของปี 2551 ซึ่งมีจำนวน26,966.3 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 71  แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 29 ก็ตาม นอกจากนี้บริษัทมีรายได้จากการขายเศษเหล็กจำนวน 300.2 ล้านบาท เปรียบเทียบกับยอดขายของปี 2551 ซึ่งมีจำนวน 488.5 ล้านบาท บริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการจำนวน 227.8 ล้านบาทต่ำกว่ารายได้ของปี 2551   ซึ่งมีจำนวน 308.8 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยมีขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 2,312.0 ล้านบาท เปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการ ก่อนหักขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 2,145.9 ล้านบาท ของปี 2551 เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและส่วนต่างระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น       บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นจำนวน 220.6 ล้านบาท (ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 169.7 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับปี 2551 ซึ่งมีรายได้อื่นจำนวน 137.4 ล้านบาท (ซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 104.2 ล้านบาท)                 2) บริษัทโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิ จำนวน 5,373.2 ล้านบาท (ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบและ สินค้าสำเร็จรูป จำนวน 3,230.0 ล้านบาท และ 2,142.9 ล้านบาท ตามลำดับ) เปรียบเทียบกับปี 2551 บริษัทมีขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือสุทธิจำนวน 5,440.0 ล้านบาท (ซึ่งรวมค่าเผื่อการลดมูลค่าของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป จำนวน 3,248.8 ล้านบาท และ 2,168.7 ล้านบาท ตามลำดับ) ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการขายและบริการหลังการโอนกลับบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 3,061.2 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2551 ซึ่งมีขาดทุนขั้นต้นจากการขายและบริการหลังหักขาดทุนบัญชีค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือจำนวน 3,294.1 ล้านบาท              3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และค่าตอบแทนผู้บริหาร ของบริษัทและบริษัทย่อย มีจำนวน 576.1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่าย ของปี 2551 จำนวน 929.8 ล้านบาท (ซึ่งได้รวมต้นทุนคงที่จากการหยุดผลิตชั่วคราวจำนวนเงิน 205.8 ล้านบาท) และเป็นผลมาจากการขายสินค้าส่วนใหญ่ที่เป็นการขายด้วยเงื่อนไขไม่รวมการจัดส่งสินค้า ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายในปี 2552 ลดลง                4) ในปี 2552 บริษัทตั้งสำรองผลเสียหายจากคดีฟ้องร้อง 2 คดีจำนวน 11.8 ล้านบาท (ซึ่งประกอบด้วยคดีที่บริษัทถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมในคดีแพ่ง ที่บริษัทตัวแทนจัดส่งสินค้าออกใบตราส่งสินค้าไม่ถูกต้อง จำนวน 7.7 ล้านบาท และคดีที่บริษัทถูกกรมป่าไม้ฟ้องร้องคดีแพ่งในข้อหาละเมิด จำนวน 4.1 ล้านบาท)                 5) ในปี 2551 บริษัทได้บันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของที่ดิน จำนวน 2 แปลง มูลค่าตามบัญชี 10.0 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน ให้ส่งมอบ     หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ของบริษัทฯจำนวน 2 แปลง เพื่อทำการสอบสวนเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาสั่งเพิก  ถอนหรือแก้ไขการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้  ออกหนังสือคัดค้านการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกหนังสือ แสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าว โดยยื่นต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์                6) บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้ นิติบุคคลจำนวน 2,693.9 ล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้นิติบุคคลของปี 2551 ซึ่งมีจำนวน   4,096.5 ล้านบาท               7) ค่าใช้จ่ายทางการเงินมีจำนวน 1,020.1 ล้านบาท (ซึ่งประกอบด้วย ดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 993.2 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 26.9 ล้านบาท) เปรียบเทียบกับ ค่าใช้จ่ายทางการเงินของปี 2551 จำนวน 711.4 ล้านบาท (ซึ่งประกอบด้วยดอกเบี้ยจ่ายสำหรับเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวจำนวน 686.4 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางการเงินอื่นๆ จำนวน 25.0 ล้านบาท) เป็นผลมาจากมีการใช้เงินกู้ยืมระยะสั้นเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 และเงินกู้ยืมระยะยาวเพื่อการลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกัน ซึ่งบริษัทได้กู้ยืมจากสถาบันการเงินตั้งแต่ไตรมาสสามปี 2551               8) บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 340.6 ล้านบาท เปรียบเทียบกับส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันของปี 2551 จำนวน 323.4 ล้านบาท                 9) ภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อย มีจำนวน 19.6 ล้านบาท เปรียบเทียบกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อยของปี 2551 จำนวน 10.2 ล้านบาท             10) บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ (ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วน น้อย จำนวน 41.2 ล้านบาท) จำนวน 1,313.6 ล้านบาท เปรียบเทียบ กับขาดทุนสุทธิ (ก่อนหักกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 24.9 ล้านบาท) ของปี 2551 จำนวน 5,141.3 ล้านบาท             จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัท บริษัทย่อย และกิจการที่ควบคุมร่วมกันสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีกำไรสุทธิเมื่อเปรียบเทียบกับขาดทุนสุทธิในงวดเดียวกันของปี 2551 เกินร้อยละ 20  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook