ทัพบกสั่งระงับซื้อตรวจบึ้ม''จีที 200''

ทัพบกสั่งระงับซื้อตรวจบึ้ม''จีที 200''

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
พรทิพย์ท้า อ.จุฬาฯ ลงแดนใต้พิสูจน์

จีที 200อาจารย์จุฬาชำแหละเละ บอกเป็นแค่เครื่องอุปาทานเปรียบแค่ไม้ชี้ศพป่าช้าไร้ญาติ สุเทพ แจงคนใช้บอกดี เปรย เหมือนมอเตอร์ไซค์ยังใช้ได้ จะเข้าอู่ซ่อมทำไม บิ๊กป๊อก การันตี ใช้งานได้จริง ท้าพิสูจน์ รับเมื่อท้วงก็ต้องระงับซื้อ แม่ทัพภาค 4 เซ็ง คนวิจารณ์ หมอพรทิพย์ ถือลุยค้นรังอาร์เคเค ระบุไม่พึ่งเครื่องแค่เครื่องเดียว ท้าองค์กรสิทธิ ลงพื้นที่ดูของจริง

กรณีสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าเครื่องมือตรวจวัตถุระเบิดซึ่งคล้ายกับ เครื่อง จีที 200 ที่ใช้ในไทย ว่าไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานตามที่กล่าวอ้าง ทำให้กลุ่มองค์กร รวมถึงนักวิชาการออกมาเรียกร้องกับทางกองทัพ ให้ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องว่ามีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเครื่องตรวจสาร ระเบิด จีที 200 ว่า ตอนนี้ต้องระวังในการพูดเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องทางเทคนิค ขอให้ฝ่ายเทคนิคเขาว่ากันไปก่อน แต่เท่าที่ได้สัมผัสกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ เขายืนยันว่าเครื่องมือ นี้ใช้ได้ผล

ต่อข้อถามว่าทำไมจึงไม่ให้กระทรวง วิทยาศาสตร์หรือกระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มาตรวจสอบให้ชัดเจน นายสุเทพ กล่าวว่า ก็คนใช้เขายังไม่เดือดร้อนเลย เหมือนเราขับมอเตอร์ไซค์ก็เห็นว่ายังใช้ได้ใช้ดีก็ไม่ต้องจอดเข้าอู่ แต่เมื่อใดชักแกว่งหรือปัด ๆ เบรกไม่อยู่ ก็ต้องเข้าอู่ นายสุเทพ กล่าว

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ได้สอบถาม พล.ท. พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ที่เป็นผู้ ปฏิบัติเขายืนยันว่า ยังใช้ได้ดี ถ้าไม่มีเครื่อง จีที 200 คงลำบากในการปฏิบัติงาน ส่วนจะได้ผลกี่เปอร์เซ็นต์นั้นไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่ได้มีการทำวิจัย แต่มีสถิติว่า เมื่อไปตรวจ วัตถุระเบิดแล้วสามารถจับได้จริง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตรวจวัตถุระเบิดได้ทำการทดสอบเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ จ.ราชบุรี ปรากฏว่าในการตรวจสอบได้ตรวจเจอวัตถุระเบิด ส่วนที่ต้องการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ ถ้าจะทำให้สมบูรณ์ต้องทำทั้งสองทาง ต่อข้อถามที่ว่าเมื่อมีการ ท้วงติงจะสั่งระงับการใช้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เมื่อมีเรื่องเข้ามาก็ต้องชะลอการสั่งซื้อไว้ก่อน เพื่อให้เกิดความแน่ชัดกว่านี้

ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ยืนยันว่าสามารถใช้งานได้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ภาคใต้และภาคเหนือ ไม่ใช่ พล.อ.อนุพงษ์ เพียงคนเดียว แม้แต่แม่ทัพภาคที่ 4 ทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างยืนยันว่าใช้ได้ ตนเห็นด้วยที่ ถ้าทำออกมาเป็นเปอร์ เซ็นต์ได้ก็ดี ไม่ใช่มาดันทุรังว่าใช้ได้หรือไม่ได้ ในส่วนตนยังไงก็ได้ เพราะซื้อมาแล้วต้องใช้ประโยชน์ให้ได้ ผู้ใช้ก็ต้องยอมรับ ถ้าใช้ได้ ก็จบ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า อยากให้ผู้ที่วิจารณ์ มาลงพื้นที่ วันนี้เครื่อง จีที 200 ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้ทหารมีความกล้าในการปฏิบัติหน้าที่ สร้างความเชื่อมั่น แม้จะมีข้อบกพร่องบ้างในบางกรณี แต่ได้มีการแก้ไขแล้ว ทั้งยังได้เสริมมาตรการอื่นเอาไว้แล้ว ยืนยันว่าเครื่อง จีที 200 ยังคงจะต้องใช้อยู่ในพื้นที่ต่อไป เพราะเป็นความต้องการของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

จีที 200 เองก็ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ปฏิบัติงาน ซึ่งหลังมีข่าวออกมาแบบนี้ ส่วนตัวยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยังคงไม่ท้อแท้ แต่รู้สึกท้อกับคำพูดของคนบางคน กรณีแบบนี้คนที่อยากช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ควรที่จะมาช่วยกันหรือหาเครื่องมือที่ดีมาให้ การพูดขึ้นมาแล้วช่วยอะไรไม่ได้ ทำให้รู้สึกท้อใจในการทำงานมากกว่า แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว

ส่วนที่รัฐสภานายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกประชุม เพื่อพิจารณาถึงความสามารถของเครื่อง จีที 200 โดยเชิญ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาชี้แจงว่า เครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดดังกล่าว มีการทดสอบและพิสูจน์ชัดจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐอเมริกา พบว่าไม่สามารถตรวจหาวัตถุระเบิดได้จริง มีการต่อต้านและจับกุมบริษัทที่ผลิต จนมีการเปลี่ยนชื่อ ยี่ห้อ แล้วไปตั้งฐานการผลิตที่อื่น เพื่อนำมาขายให้กับประเทศที่ด้อยพัฒนา

ผศ.ดร.เจษฎา ชี้แจงต่อว่า ส่วนที่กองทัพทดสอบเครื่อง จีที 200 ที่ จ.ราชบุรี นั้น ไม่ใช่การทดสอบตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะตามหลักต้องทดสอบในห้องที่ไม่มีคนหรือทดสอบในห้องปิด มีการจดสถิติจากการทำ ซ้ำหลายครั้ง จึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่าใช้ได้จริงหรือไม่ การทดสอบในลานกว้างที่มีคนจำนวนมาก ทำให้เกิดแรงส่งไปยังผู้ที่ถืออุปกรณ์ จนเกิดอุปทานเจอวัตถุต้องสงสัย รวมทั้งสถานที่ทดสอบก็เป็นพื้นที่ของกองทัพ จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการส่งสัญญาณให้กันหรือไม่

ขอย้ำว่าเครื่อง จีที 200 ไม่สามารถ ตรวจสอบหาวัตถุระเบิดได้จริง ไม่ใช่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เป็นเพียงการอุปทาน ของผู้ใช้ คล้ายกับไม้ล้างป่าช้าไร้ญาติที่ชี้หาศพไร้ญาติตามความเชื่อ ใช้พลังจิตหาเอาและจากการพิสูจน์ผ่าเครื่องชนิดนี้ออกของผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ ก็ไม่พบอุปกรณ์ที่ตรวจจับระเบิด ส่วนเสาอากาศที่ชี้ไปมา ก็เป็นเพียงอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่หมุนซ้ายขวาได้เป็นไปตามแรงเฉื่อยของผู้ถือเท่านั้น แล้วที่อ้างว่าเครื่องนี้ไม่ใช้แบตเตอรี่ ใช้เพียงไฟฟ้าสถิตจากตัวมนุษย์เท่านั้น ตนขอยืนยันว่าแรงไฟฟ้าสถิตในตัวมนุษย์ ไม่สามารถขับเคลื่อน หรือมีผลต่อเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ โดย เฉพาะอุปกรณ์ตรวจหาวัตถุระเบิดได้ ผศ. ดร.เจษฎา กล่าว

ต่อมานายเจะอามิง แถลงหลังการประชุม ว่า เรื่องนี้จะต้องพิสูจน์ประสิทธิภาพโดยเร็วที่สุด ที่ประชุมจึงมีมติให้ทำหนังสือ ถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบร่วมกับ กระทรวงยุติ ธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม ทั้งนี้การตรวจสอบต้องอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับทางวิชาการและกองกำลังที่นำไปใช้งาน ถ้าผลออกมาไม่ได้มาตรฐานรัฐบาลก็ต้องยุติการสั่งซื้อ แต่หากผลออกมาว่าเครื่องมีประสิทธิภาพจริงก็สามารถใช้ต่อ และรัฐบาลคงต้องสนับสนุนต่อ

ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ทาง พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมสนธิกำลังกับ พ.ต.อ. จำลอง งามเนตร ผกก.สภ.รือเสาะ น.ท. นฤมิต ศุขสมิติ ผบ.ฉก.นราธิวาส 32 และฝ่ายปกครอง จำนวน 80 นาย ใช้กฎอัยการศึก เข้าตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 492 หมู่ 5 บ้านดูกู ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านของน้องสาวนายรอย๊ะ กลามอ สมาชิกระดับแกนนำกองกำลังติดอาวุธอาร์เคเค ที่ถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายจับก่อเหตุคดีความมั่นคงในพื้นที่หลายคดี โดยใช้เครื่องตรวจจับ วัตถุระเบิด จีที 200 ในการตรวจพื้นที่ด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบตัว นายรอย๊ะ จึงเก็บคราบลายนิ้วมือแฝงและคราบเหงื่อตามเสื้อผ้าและของใช้ภายในบ้าน เพื่อนำไปทำการตรวจสอบตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์

โดย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า การที่จะพิสูจน์ว่าสถานที่ใดมีระเบิด ไม่อาจเชื่อได้ด้วยเครื่อง จีที 200 เพียงตัวเดียวเท่านั้น จึงอยากให้นักวิชาการแยกแยะ อย่าใช้ อารมณ์ในการพิสูจน์และอยากให้มาดูในพื้นที่ คนที่ทำงานเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่าลำเอียง ต้อง มองว่ามีคนกระทำผิดจริงไหม แล้วมาช่วยกันแก้ไขปัญหาดีกว่า.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook