บล.กิมเอ็ง : รายงานภาวะหุ้น 01/02/53

บล.กิมเอ็ง : รายงานภาวะหุ้น 01/02/53

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บล.กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 01/02/53แนวโน้มตลาดวันนี้ เราเชื่อว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น หลังธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนธันวาคมออกมาดีกว่าคาดมาก ขณะที่ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาส 4/52 ซึ่งประกาศเมื่อวันศุกร์ก็ออกมาสูงถึง 5.7% แม้ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในวันนี้ แต่เรามองว่าปัญหาการเมืองในประเทศจะยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดมากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจ และอาจกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงได้เช่นกันในระยะต่อไป นักวิเคราะห์ด้านเทคนิคของเราให้แนวรับของดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 684-688 จุด และแนวต้านที่ระดับ 696-702 จุด ตามลำดับ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการทยอยสะสมหุ้นควรเน้นลงทุนในหุ้นที่คาดว่ากำไรไตรมาส 4/52 จะออกมาแข็งแกร่ง, สามารถรักษาศักยภาพในการทำกำไรได้ต่อเนื่องในปี 2553, และจ่ายเงินปันผลในระดับที่น่าประทับใจ โดยวันนี้เราขอแนะนำ SSI และ BBL   นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิต่อ: เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ  1,136 ล้านบาทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขามียอดขายสุทธิสะสมสูงถึง 7,485 ล้านบาทในเดือนมกราคม อย่างไรก็ตามนักลงทุนสถาบันในประเทศกลับมียอดขายสุทธิสะสมสูงกว่า โดยมียอดขายสุทธิในเดือนมกราคมทั้งสิ้น 8,210 ล้านบาท แม้นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิออกมามากในเดือนมกราคม แต่เราทุกคนต่างรู้กันดีว่าท้ายสุดแล้วพวกเขาจะกลับมาซื้อสะสมอีกครั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นหากไม่มีปัญหาการเมืองกดดัน เราเชื่อว่านักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศจะกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง พร้อมช่วยผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ทะยานขึ้นต่อได้   ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้: นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังเฝ้าติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทจดทะเบียนกว่า 80% ต่างรายงานผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบันการเงิน, วัสดุก่อสร้าง, และสินค้าที่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค ในสัปดาห์นี้บริษัทจดทะเบียนที่ถูกคำนวณในดัชนี S&P500 จำนวน 94 ราย และบริษัทที่ถูกคำนวณในดัชนี Dow Jones จำนวน 3 รายจะมีการรายงานผลประกอบการ เราคาดว่านักลงทุนจะให้ความสำคัญกับผลประกอบการของบริษัท Exxon-Mobil, Pepsi, Sisco, Time Warner และ Pfizer ในคืนนี้สำนักงบประมาณของสหรัฐฯ จะมีการเสนอรายละเอียดร่างกฎหมายงบประมาณประจำปี 2553 ซึ่งนักลงทุนต่างคาดหวังที่จะเห็นการจำกัดรายจ่าย และลดการขาดดุลงบประมาณลงตามที่ประธานาธิบดีโอบามาได้ให้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้  ขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Tim Geithner จะมีการแถลงกฎหมายฉบับดังกล่าวต่อสภาครองเกสในคืนวันอังคาร (ตามเวลาประเทศไทย) นอกจากนี้ในคืนวันอังคารทางการสหรัฐฯ จะมีการรายงานตัวเลขยอดขายรถยนต์ด้วย ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชียในสัปดาห์นี้: ประเทศจีนจะมีการรายงานตัวเลขยอดสั่งซื้อของภาคธุรกิจ (PMI) ในวันนี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่าตัวเลขยอดสั่งซื้อในเดือนมกราคมจะขยายตัว 6.7% yoy ซึ่งสูงกว่าระดับ 6.6% yoy ในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงมีความกังวลกับตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของจีนที่คาดว่าจะชะลอตัวลง หลังทางการเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยตัวเลขปริมาณเงิน และปริมาณการปล่อยสินเชื่อของจีนในเดือนมกราคมจะมีการประกาศในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ นี้ นอกจากนี้ญี่ปุ่นจะมีการรายงานตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในวันศุกร์ ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ช่วยหนุนภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแต่อย่างใด: ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลง 53.13 จุด หรือ 0.52% ในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวลงแรงกว่า 0.98% และ 1.45% ตามลำดับ สาเหตุเกิดจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจ, การจ้างงาน และตลาดอสังหาริมทรัพย์ หลังทางการประกาศตัวเลข GDP ออกมาดีกว่าคาด เราพบว่าค่าเงิน US dollar เทียบยูโรแข็งค่าขึ้น 0.7% เป็น 1.3867 เหรียญสหรัฐฯ ต่อยูโร ขณะที่ค่าเงิน US dollar เทียบปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.8% เป็น 1.5999 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปอนด์ และค่าเงินUS dollar เทียบเยนแข็งค่าขึ้นเป็น 90.39 เยนต่อเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้เราพบว่าค่าเงิน US dollar ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวลง 0.01 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 72.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้าปรับตัวลง 1.60 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 1,083.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 5.7% ในไตรมาส 4/52: เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 4/52 เบื้องต้นขยายตัว 5.7% ซึ่งดีขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 2.2% ในไตรมาส 3/52 ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากฐานที่ต่ำมากในช่วงเดียวกันของปี 2551 หลังสหรัฐฯ ประสบปัญหาวิกฤตการเงิน ขณะที่ธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศหดตัวลงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามหากตัดรายการการเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังออก เราพบว่า GDP ในไตรมาส 4/52 ของสหรัฐฯ จะขยายตัวเพียง 2.2% yoy เราคิดว่านี่เป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรทราบ เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลว่าหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหมดลง และการสะสมสินค้าคงคลังของภาคเอกชนเริ่มชะลอตัวลง เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ประเด็นสำคัญอีกข้อคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่หากตัวเลอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงถึง 10% นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ ได้นำเสนอตัวเลขที่น่าสนใจมากคือ แม้สหรัฐฯ จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.75 แสนตำแหน่งต่อเดือน สหรัฐฯ จะต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีกว่าจะสามารถหางานให้กับคนว่างงานกว่า 8 ล้านรายในขณะนี้ได้ครบ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือนธันวาคม ออกมาดีกว่าคาดมาก: เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญประจำเดือนธันวาคม ซึ่งรายงานแสดงถึง การเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing output), การบริโภคภายในประเทศ และดุลการค้า ออกมาดีกว่าที่เราคาดมาก ถึงแม้การเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะเป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำ แต่เมื่อพิจารณาเทียบกับเดือนพฤศจิกายน การเติบโตก็ยังเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งทำให้ประมาณการ GDP ไตรมาส 4/52 ที่เราคาดว่าจะเติบโต 3% อาจจะต่ำเกินไป ซึ่งที่จริงแล้วตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งข้างต้น แต่จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองทำให้นักลงทุนไม่ให้น้ำหนักกับข่าวเชิงบวกนี้มากนัก  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook