บล.คันทรี่ กรุ๊ป: หมวดพลังงานน้ำหนักลงทุนเท่าตลาด

บล.คันทรี่ กรุ๊ป: หมวดพลังงานน้ำหนักลงทุนเท่าตลาด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บล.คันทรี่ กรุ๊ป : หมวดพลังงาน น้ำหนักการลงทุนเท่าตลาด (ไม่เปลี่ยนแปลง)


           ผู้ผลิตน้ำมัน  ราคาน้ำมันดิบ Dubai และ WTI เดือน ม.ค. นั้น เฉลี่ยที่ $77-78 เหรียญ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ราคาน้ำมันดิบในระหว่างเดือน สามารถขึ้นไปยืน $80 เหรียญได้ โดยได้อานิสงค์จะอากาศที่หนาวเย็นของสหรัฐฯ และความต้องการใช้น้ำมันของสหรัฐฯที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากมาตรการชะลอเศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯจะออกกฎควบคุมการเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง 2 ปัจจัยที่ฉุดให้การเก็งกำไรราคาน้ำมันลดลงในทันที และยังมีแรงกดดันอีกทางหนึ่งมาจากค่าเงิน US$ ที่แข็งค่าขึ้นอีกด้วย

           หุ้นผู้ผลิตน้ำมันอย่าง PTTEP และ PTT ซึ่งขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ดูแล้วเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเพราะเราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบ (WTI) จะไม่ต่ำกว่า $70 เหรียญบาร์เรล และปัญหา Montara ที่เรื้อรังมาหลายเดือนก็พอจะทราบกันว่า ที่สุดแล้วจะมีความเสียหายประมาณ 1 หมื่นลบ. (เคลมประกันภัยได้บางส่วน)

            ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ค่า  Crack Spreads หรือ Gross Refinery Margin ;GRM ของโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือน ธ.ค.52 จนถึงปัจจุบัน อยู่ในเกณฑ์ดี คือประมาณ $2-3 เหรียญ/บาร์เรล จากช่วง Q3/52 ที่ติดลบในบางวัน และสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการใช้น้ำมัน กำลังสูงขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าดูกำไร Q4/52 ที่กำลังจะประกาศออกมา เราคาดว่าธุรกิจการกลั่นน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันเกือบทุกแห่งมีกำไรน้อยมากหรือ “ขาดทุน” แต่ถ้ามองไปที่ผลการดำเนินงาน Q1/53 หรือ ครึ่งปีแรกของปี ’53 จะมีกำไรแล้ว ปี ’53 แม้จะไม่ใช่ปีที่ดี แต่สำหรับโรงกลั่นน้ำมันบางแห่งแล้วน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ESSO  หรือ อีก 2 ตัว คือ PTTAR และ IRPC ที่มีข่าวควบรวมรออยู่เบื้องหน้า (คาดว่าจะทราบผลว่าใครจะรวมกับใคร อย่างเร็ว ภายในเดือน มี.ค.53)

            ธุรกิจถ่านหิน  ราคาถ่านหิน BJI ล่าสุด อยู่ที่ $98 เหรียญ/ตัน แนวโน้มธุรกิจถ่านหินเป็นบวกมากขึ้น และราคามีความแข็งแกร่งกว่าราคาน้ำมัน เนื่องจากได้ demand จริงๆ ทั้งจากยุโรป จีน และอินเดีย หุ้น BANPU ถือเป็น Top Pick ของกลุ่มในเดือนนี้ เพียงแต่ต้องรอให้การเทขายเพื่อทำกำไรหลังราคาปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากสิ้นสุดลงเสียก่อน

           ธุรกิจไฟฟ้า  ปริมาณใช้ไฟฟ้าของไทย ปี ’52 ขยายตัวลดลง 0.3% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก และคาดปีนี้ จะโตถึง 4% จริงอยู่ที่มีเพียง GLOW ที่รายได้ส่วนหนึ่งอิงกับการใช้ไฟฟ้าของประเทศ แต่ GLOW ไปเสียตรงที่ลูกค้าหลายรายอยู่ในนิคมฯมาบตาพุด และบางส่วนถูกระงับโครงการ ส่วนหุ้น EGCO นั้น ผลการดำเนินงานยังหดตัวเพราะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรไฟฟ้าหลักๆกำลังจะครบอายุ ในเดือนนี้ เราให้ความสนใจแค่หุ้น RATCH ที่ผลการดำเนินงานจะไปไหว และเก็งเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง @1.00-1.20 บาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook