ต่างชาติลุยซื้อหุ้นไทย

ต่างชาติลุยซื้อหุ้นไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เทมาเส็กถือหุ้นชินต่อหลังร่วง

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุน และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า หลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าความเสี่ยงด้านการเมืองในประเทศลดลง เห็นได้จากการเข้าซื้อสุทธิตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.-3 มี.ค. จำนวน 14,900 ล้านบาท หลังช่วง 4 เดือนก่อนหน้า (ต.ค.-15 ก.พ.) มียอดขายสุทธิ 38,000 ล้านบาท ขณะที่ช่วงปีครึ่งที่ผ่านมามียอดขายถึง 150,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงยาก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไม่มากนัก ดังนั้น หากดัชนีลดลงก็จะช้อนซื้อ โดยนักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นก่อนหรือหลังวันที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 14 มี.ค. ได้อีก 1 วัน เพราะหลายคนอาจจะตกใจและขายหุ้นออกมา ขณะที่เงินทุนต่างชาติคาดยังไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยในเดือน มี.ค. 10,000 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติมองว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ เป็นโอกาสในการลงทุน เพราะความกังวลเรื่องการเมืองลดลง ขณะที่นักลงทุนไทยและกองทุนต่าง ๆ ยังรับข่าวสารด้านการเมืองมากเกินไป จึงยังไม่เข้าซื้อมากนัก ซึ่งประเมินว่าในต้นเดือนจนถึงปลายเดือน มี.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้จากแรงซื้อของต่างชาติและราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น บ้านปู ปตท. รวมทั้ง ปตท. สผ.

ทั้งนี้ หากระหว่างวันที่ 22-24 มี.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยสามารถแตะแนวต้านที่ระดับ 750 จุดได้ แนะนำนักลงทุนเทขายทำกำไร เนื่องจากจะมีการปรับฐานลงในเดือน เม.ย. โดยเฉพาะช่วงปลายเดือน เพราะจะครบกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยในกรีซ ซึ่งต้องระมัดระวังการผิดนัดชำระหนี้ และหากผิดนัดชำระจะทำให้สถาบันจัดอันดับต่าง ๆ ทั้ง เอสแอนด์พี และมูดี้ส์ ปรับลดน้ำหนักลงทุนลง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่อาจปรับเพิ่มขึ้น โดยมองว่าดัชนีจะปรับลดลงต่อเนื่องตลอดไตรมาส 2 และ 3 นี้ เนื่องจากเป็นรอยต่อของพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหลังการตัดสินได้ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสาร ซึ่งสร้างความคลุมเครือถึงความเสี่ยงที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส อาจต้องชดเชยค่าเสียหายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาสัมปทานหรือความช่วยเหลือด้านอื่น แต่คาดจะใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ถึงจะมีข้อสรุปผลการตัดสินของศาลฯ ต่อความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ช่วงนี้นักลงทุนไม่ควรอิงกับปัจจัยเสี่ยงทางด้านการเมืองเพียงอย่างเดียว ส่วนกรณีที่ราคาหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ปรับลดลงนั้น เชื่อว่าคงไม่ทำให้กลุ่มเทมาเส็กขายหุ้นออกมา และน่าจะยังถือต่อ เพราะราคายังอยู่ในระดับต่ำ.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook